SHARE

คัดลอกแล้ว

โฆษกรัฐบาล ‘ธนกร วังบุญคงชนะ’ ออกข่าวโต้กลับ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่โพสต์เฟซบุ๊กประกาศ จะทวงคืนศักดิ์ศรีการต่างประเทศของไทย

วันที่ 23 ต.ค. 2564 เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล ได้เผยแพร่ข่าว นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ระบุว่า การสูญเสียบทบาทของไทยในเวทีโลก ไม่ใช่เพราะนักการทูตไทยไม่มีความสามารถ ไม่ใช่เพราะไม่รู้กฎหมาย แต่เป็นเพราะไม่มีจุดยืนกรณีอาเซียนมีมติไม่เชิญผู้นำทหารเมียนมาเข้าร่วมประชุมเพราะไม่ทำตามฉันทามติ 5 ข้อ เราจึงไม่มีที่ยืนในเวทีโลก ถ้าพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาลจะทวงคืนศักดิ์ศรีของการต่างประเทศไทยว่า

ก่อนจะทวงคืนศักดิ์ศรีการต่างประเทศของไทย นายพิธาควรทวงคืนความสงบสุขให้ชาวดินแดงก่อนจะดีกว่าหรือไม่ เพราะไม่เคยเห็นนายพิธา ออกมาห้ามปราม หรือแสดงความเป็นห่วงประชาชนที่เขาได้รับความเดือดร้อนจากการชุมนุมเลย

ทั้งนี้คนที่จะเป็นผู้นำประเทศต้องรู้จักการประนีประนอม ยิ่งในเวทีระดับโลกด้วยแล้ว ยิ่งต้องมีวุฒิภาวะ แสดงความเห็นด้วยความระมัดระวังเหมือนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ดำเนินมาตลอด ไม่ใช่พูดเอามัน แต่ภาพลักษณ์ของประเทศจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน แบบนั้นเรียกว่าใช้ไม่ได้”

“ก่อนพูดเราเป็นนายตัวเราเอง แต่พอพูดไปแล้ว คำพูดจะกลายเป็นนายเรา ดังนั้น คำพูดของเราต้องมีน้ำหนัก น่าเชื่อถือ ไม่ใช่พูดไปแล้วถูกมองว่าไม่มีราคา แค่พูดเพื่อเกาะกระแสหรือเรียกคะแนนนิยม ถ้าวันนี้คุณพิธาอยากจะแสดงจุดยืน ผมขอเรียกร้องให้คุณพิธาแสดงจุดยืนเป็นคนแรกในฐานะหัวหน้าพรรคก้าวไกล ว่า หลังจากที่เราเปิดประเทศแล้ว นักท่องเที่ยวทยอยเดินทางมาประเทศไทย ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศฟื้นกลับคืนมาอีกครั้งนั้น คุณพิธา และ ส.ส.พรรคก้าวไกลจะคัดค้านการชุมนุม และการแสดงความรุนแรง ทำลายทรัพย์สินราชการอย่างไร เพื่อไม่ให้ภาพลักษณ์ของประเทศต้องเสียหายไป เพราะฝีมือของคนเพียงกลุ่มเดียว ไม่อย่างนั้นคุณพิธาเองที่จะไม่มีที่ยืนในสายตาประชาชน” นายธนกร กล่าว

ทั้งนี้ ในวันที่ 22 ต.ค. 2564 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก ‘Pita Limjaroenrat – พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ ระบุว่า รัฐบาล ไร้จุดยืน ไร้น้ำหนัก ไร้ราคา ในเรื่องเมียนมาร์ หากก้าวไกลเป็นรัฐบาล เราจะทวงคืนศักดิ์ศรีการต่างประเทศไทย

เมื่อวานนี้ หรือวันที่ 21 ตุลาคม 2564 ผมได้ร่วมเวทีแสดงวิสัยทัศน์ด้านการต่างประเทศไทย ในงานเสวนา “ปรับยุทธศาสตร์เพิ่มพลังประเทศไทยในเวทีโลก” ในหัวข้อ “บทบาทการทูตและการต่างประเทศไทยในปัจจุบัน” จัดโดย มูลนิธิสุรินทร์ พิศสุวรรณ, สถาบันนโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ThaiPBS และ Asia News Network

ผมได้พูดถึงใจกลางของปัญหาการสูญเสียบทบาทของไทยในเวทีโลก ว่า ไม่ใช่เพราะนักการทูตไทยไม่มีความสามารถ ไม่ใช่เพราะเราไม่รู้กฎหมาย ไม่ใช่เพราะเราไม่รู้ protocol แต่เป็นเพราะเราไม่มีผู้นำทางการเมือง ที่มีกระดูกสันหลังที่จะสามารถยืนตัวตรงบนหลักการสากลของความถูกต้องบนเวทีโลก หรือสรุปสั้นๆ ได้ว่า ‘เพราะเราไม่มีจุดยืน เราจึงไม่มีที่ยืนในเวทีโลก’

โดยวิธีคิดของผู้นำทางการเมืองไทยที่เชื่อว่าเราจะมีที่ยืนในเวทีโลกเราต้องประนีประนอมโอนอ่อนผ่อนตามกับทุกคน แต่พอประเทศของเราไม่มีหลักการ คำพูดและการกระทำของไทยจึง ไม่มีจุดยืน ไม่มีน้ำหนัก ไม่มีราคา ตัวอย่างเช่น การแสดงจุดยืนของไทยต่อการที่อาเซียนจะไม่เชิญผู้นำเมียนมาร์เข้าประชุมผู้นำอาเซียน ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของไทยได้กล่าวว่า “ไม่มีปัญหา แต่ก็เป็นเรื่องที่ไม่เคยทำมาก่อน” สวนทางกับ 5 ชาติอาเซียน ได้แก่ บรูไน สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ที่ยืนยันว่าไม่ต้องการให้ผู้นำเมียนมาร์เข้าประชุม เนื่องจากฉันทามติ 5 ข้อในการหาทางออกจากวิกฤตความรุนแรงในเมียนมาร์ไม่มีความคืบหน้า

ถ้าพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาลจะทวงคืนศักดิ์ศรีของการต่างประเทศไทย โดยจะทำการทูตแบบยืนหลังตรงในเวทีโลก โดยสิ่งที่สามารถทำได้ในวันแรกหากพรรคก้าวไกลได้เป็นรัฐบาลคือ จะเปลี่ยนท่าทีของไทยต่อเมียนมาร์ กดดันเมียนมาร์ให้ยอมเปิด humanitarian corridor ให้องค์กรระหว่างประเทศนำความช่วยเหลือเข้าไปในเมียนมาร์เพื่อช่วยผู้พลัดถิ่นในประเทศจากสงครามกว่า 7 แสนคน โดยไม่ผ่านรัฐบาลเมียนมาร์ สิ่งที่ทำได้ในวันแรกยังรวมไปถึงการยกเลิกกฎหมายที่จำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก ที่เกี่ยวข้องกับต่างประเทศ เช่น ร่าง พ.ร.บ. NGO

“ต้องไม่มีอีกแล้วประเทศไทยที่ไม่แสดงจุดยืนอะไรเลย ตอนที่อาเซียน มีมติไม่เชิญผู้นำทหารเมียนมาร์เข้าร่วมประชุม เพราะไม่ทำตามฉันทามติ 5 ข้อ ต้องไม่มีอีกแล้วประเทศไทยที่ไม่ยอมโหวต ในมติ non-binding หรือมติที่ไม่ได้มีความผูกพันทางกฎหมายด้วยซ้ำ ของสมัชชา UN เพื่อป้องกันการไหลเวียนของอาวุธเข้าเมียนมาร์ และต้องไม่มีอีกแล้วครับ ประเทศไทยที่นายกรัฐมนตรีแอบไปพบรัฐมนตรีต่างประเทศที่เพิ่งขึ้นมาจากการรัฐประหารที่สนามบิน”

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า