Advertisement

SHARE

คัดลอกแล้ว

จากกรณีที่ สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญได้เผยแพร่ คำวินิจฉัยกรณีผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 161 หรือไม่ โดยคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ตอนหนึ่งว่า การถวายสัตย์ปฏิญาณฯ เป็นการกระทำทางการเมืองของคณะรัฐมนตรี ในฐานะที่เป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญฝ่ายบริหารในความสัมพันธ์เฉพาะกับพระมหากษัตริย์ อันอยู่ในความหมายของการกระทำของรัฐบาล ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ มาตรา 47 (1) ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญไม่อาจรับคำร้องไว้พิจารณาได้

นอกจากนั้นคำวินิจฉัยยังอ้างถึง เมื่อมีการเข้าเฝ้าฯ และถวายสัตย์ฯ จบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราชดำรัส เพื่อให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีได้น้อมนำไปเป็นแนวทางในการบริหารราชการแผ่นดิน และต่อมาเมื่อวันที่ 27 ส.ค. นายกรัฐมนตรีและ ครม.ก็ได้เข้ารับพระราชดำรัสในโอกาสเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ฯ ซึ่งพระราชทานเป็นลายลักษณ์อักษรพร้อมทั้งทรงลงพระปรมาภิไธย การถวายสัตย์ฯ จึงไม่อยู่ในอำนาจการตรวจสอบขององค์กรตามรัฐธรรมนูญใด

นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคความหวังใหม่ แสดงความเห็นต่อกรณีดังกล่าวว่า ตามหลักกฎหมายมหาชน การกระทำทางรัฐบาลหรือ การกระทำทางการเมือง คือ การกระทำที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการกระทำที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างรัฐสภากับรัฐบาล การกระทำเหล่านี้อาจหลุดพ้นไปจากการตรวจสอบทางกฎหมายโดยองค์กรตุลาการ ทั้งนี้ เพื่อป้องกันมิให้องค์กรตุลาการหรือศาลได้เข้ามาตัดสินชี้ขาดประเด็นทางการเมืองหรือทางนโยบาย จนเกิดสภาพ “การปกครองโดยผู้พิพากษา” เว้นแต่ รัฐธรรมนูญกำหนดให้อำนาจการตรวจสอบการกระทำทางการเมืองเป็นของศาลรัฐธรรมนูญ

สำหรับการกระทำทางรัฐบาลหรือการกระทำทางการเมืองจะถูกตรวจสอบได้โดยกลไกสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้เป็นไปตามหลักการแบ่งแยกอำนาจและการตรวจสอบถ่วงดุล

กรณีศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้องกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กล่าวถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ ด้วยถ้อยคำที่ไม่ครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 161 โดยให้เหตุผลว่า การถวายสัตย์ฯเป็น “การกระทำทางการเมือง” หรือ “การกระทำทางรัฐบาล” จึงไม่อยู่ภายใต้การตรวจสอบองค์กรใด เหตุผลของศาลรัฐธรรมนูญยิ่งทำให้สภาผู้แทนราษฎรมีความชอบธรรมอย่างยิ่งในการทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลในทางการเมือง โดยผ่านกลไกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติตามมาตรา 152 การเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจตามมาตรา 151 ตลอดจนการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่ง

การอภิปรายในญัตติตามมาตรา 152 ในวันที่ 18 ก.ย.นี้ จึงเป็นหนทางที่ยังพอเหลืออยู่ในการตรวจสอบทางการเมืองและหาทางออกร่วมกันต่อกรณีนายกรัฐมนตรีถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญ โดยไม่เพียงแต่เป็นช่องทางในการช่วยกันขจัดปัญหาข้อสงสัยว่าคณะรัฐมนตรีเข้ารับหน้าที่โดยสมบูรณ์หรือไม่ แต่ยังเป็นไปเพื่อรักษาความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญอีกด้วย

ขณะที่นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมอภิปรายว่า ฝ่ายค้านจะแบ่งออกเป็น 3 เรื่องคือ การถวายสัตย์ฯ ไม่ครบขัดต่อกฎหมายหรือไม่, การแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาที่ไม่ชี้แจงแหล่งที่มาของงบประมาณ และการเรียกร้องให้ นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง ชี้แจงรายละเอียดข้อเท็จจริงของดัชนีเศรษฐกิจว่าสถานะการคลังของประเทศกำลังประสบปัญหาหรือไม่

วิรัช รัตนเศรษฐ ประธานวิปรัฐบาล

ด้านนายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ วิปรัฐบาล กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของประธานรัฐสภาว่าจะยังเดินหน้าตามระเบียบวาระการประชุมในวันที่ 18 ก.ย.หรือไม่ ซึ่งพรรคพลังประชารัฐพร้อมไม่ว่าจะเดินหน้าต่อ หรือฝ่ายค้านจะถอนระเบียบวาระ

ทั้งนี้มีรายงานว่า จะมีการหารือเรื่องนี้ในวันที่ 12 ก.ย. นี้อีกครั้ง

podcast

LATEST
OUR PICKS
HOT
กำลังโหลดบทความถัดไป...

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า