“บิ๊กป้อม” ย้ำม็อบประท้วง “บิ๊กตู่” ที่ UN ไม่ใช่คนไทยแต่ไม่รู้ใครสั่งการ

จากกรณีที่มีกลุ่มคนใส่เสื้อ Thai Democracy Now รวมตัวกันหน้าโรงแรม พลาซ่าแอทธินี นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นที่พักของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ระหว่างเดินทางเข้าร่วม การประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยสามัญ ครั้งที่ 74 พร้อมถือป้ายมีข้อความ เรียกร้องให้มีการเลือกตั้งที่เสรีและยุติธรรม

วันที่ 25 ก.ค. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีดังกล่าวว่า ได้รับทราบรายงานแล้วว่าผู้มาประท้วงไม่ใช่คนไทย ซึ่งใครทำอะไรก็รู้กันอยู่ เรื่องนี้ต้องมีเบื้องหลัง

เมื่อถามว่า เป็นกลุ่มเดิมหรือไม่ รองนายกรัฐมนตรีตอบว่า ยังไม่รู้เหมือนกันเพราะยังไม่ทราบรายละเอียด รู้แต่ว่าไม่ใช่คนไทย

พล.อ.ประวิตร ยังตอบคำถามเรื่องการเชื่อมโยงกับกลุ่มเสื้อแดงในสหรัฐอเมริกาว่า เราหาข่าวอยู่ตลอดเวลาว่าเขาจะเคลื่อนไหวต่อต้านนายกรัฐมนตรี แต่ไม่รู้ว่าจะเชื่อมโยงกันหรือไม่ ส่วนเรื่องที่จะกระทบภาพลักษณ์ของประเทศไทยหรือไม่ ก็รู้กันอยู่แล้วว่าพวกนี้ไม่ใช่คนไทย แต่มาอย่างไรไม่รู้

ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ปฏิบัติภารกิจไม่ได้เจอกลุ่มผู้ประท้วงเพราะออกจากโรงแรมไปก่อน โดย วันที่ 24 ก.ย. เวลา 21.00 น. (ตามเวลาไทย / 09.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น) เข้าร่วมการเปิดอภิปรายทั่วไป การประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยสามัญ ครั้งที่ 74

ต่อมา 22.45 น. (ตามเวลาไทย / 11.45 น. ตามเวลาท้องถิ่น) นายกรัฐมนตรีได้หารือกับ ชีค อาซีนา นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ เรื่องเพิ่มมูลค่าการค้าและการลงทุนระหว่างกัน และ สกอตต์ มอร์ริสัน นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย เรื่องความสำคัญของความตกลง หุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค RCEP ต่อการเติบโตและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของภูมิภาค และการเข้าร่วม CPTPP หรือ ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก

จากนั้น 25 ก.ย. เวลา 02.00 น. (ตามเวลาไทย / 15.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น) จึงเข้าร่วมการประชุมระดับผู้นำว่าด้วยเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG Summit) ณ ห้องประชุมคณะมนตรีภาวะทรัสตี ชั้น 2 สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถ้อยแถลงในนามอาเซียน 10 ประเทศ เรื่องวิสัยทัศน์ว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนเพื่อความยั่งยืน รวมทั้งเห็นชอบข้อริเริ่ม “ความเกื้อกูลระหว่างวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน ค.ศ. 2025 กับวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030” โดยอาเซียนมุ่งหวังที่จะเป็นประชาคมที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง