นายกฯ เผย เตรียมนำเข้าวัคซีนไฟเซอร์ 5-20 ล้านโดส

นายกฯ เผย เตรียมตั้ง รพ.สนามที่อิมแพค อารีน่า รองรับผู้ป่วยในกรุงเทพฯ แจงเตรียมนำเข้าวัคซีน ‘ไฟเซอร์’ 5-20 ล้านโดส บริษัทอื่นอีกเจ้าละ 5-10 ล้านโดส ยืนยัน ‘ฟาวิพิราเวียร์’ มีเพียงพอ

วันที่ 5 พ.ค. 2564 พล.อ.ประยุทธ์​ จันทร์​โอชา ​นายก​รัฐมนตรี​ และ​รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม​ แถลงภายหลังการประชุม​คณะ​รัฐมนตรีว่า จากสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ที่แพร่ระบาดเป็นวงกว้างและกลุ่มก้อนในหลายจังหวัด ซึ่งตนในฐานะนายกฯ และ ผอ.ศบค. ได้สั่งการเพิ่มเติมในเรื่องการบริหารจัดการเตียง โดยสั่งจัดระบบบูรณาการเรื่องเตียงและโรงพยาบาลสนามทั้งหมด โดยแบ่งกลุ่มรักษาตามอาการทั้ง 3 กลุ่ม พร้อมกับปรับรูปแบบการคัดกรองผู้ป่วย เพื่อลดความแออัดที่โรงพยาบาล และรักษาเตียงว่างให้ผู้ป่วยที่จำเป็น พร้อมทั้งกำชับสายด่วนให้เพียงพอด้วย ทั้งนี้ ได้สั่งการกระทรวงสาธารณสุข กทม. กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และกระทรวงกลาโหม ให้เร่งเพิ่มจำนวนเตียงให้มากที่สุด ทั้งในโรงพยาบาล และโรงพยาบาลสนาม โดยสามารถติดต่อให้ผู้ป่วยรอเตียงติดค้างทั้งหมดได้เข้ารับการรักษาจนปัจจุบันไม่มีผู้ป่วยรอเตียงเกิน 48 ชั่วโมง และสามารถส่งต่อผู้ป่วยไปแล้วถึง 96%

“จากความพยายามเพิ่มเตียงให้พร้อมรองรับผู้ป่วยที่มีมากขึ้น ทั้ง Hospitel และโรงพยาบาลสนาม ทำให้เรามีเตียงเพิ่มขึ้นจากช่วงสงกรานต์ 10,000 เตียง และมีเตียงว่างรวมทั่วประเทศกว่า 30,000 เตียง อย่างไรก็ตาม รัฐบาลกำลังพิจารณาจัดตั้งโรงพยาบาลสนามเพิ่มเติมที่อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี เพื่อรองรับผู้ป่วยในกรุงเทพฯ ดังนั้น วันนี้เราอาจจะพูดได้ว่า เราสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ สำหรับผู้ป่วยได้อย่างทันการณ์ ขอขอบคุณทุกคนและทุกหน่วยงานที่ให้ความร่วมมือจนสามารถแก้ไขปัญหาไปได้ในระดับที่ดี”นายกรัฐมนตรีกล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า สำหรับการแพร่ระบาดในคลัสเตอร์คลองเตย ตนได้ติดตามอย่างใกล้ชิดเป็นพิเศษ โดยสั่งทุกหน่วยงาน ระดมสรรพกำลังในการควบคุมการแพร่ระบาดให้ได้โดยเร็วที่สุด พร้อมทั้งใช้การจัดการแบบ จ.สมุทรสาครที่ทำสำเร็จมาแล้วมาปรับใช้ โดยใช้โมเดล ตรวจเชื้อ ติดต่อ คัดกรอง แยกตัว ส่งต่อ และรักษา โดยเน้นตรวจเชิงรุกระดมตรวจกลุ่มเสี่ยงอย่างน้อย 1,000 คนต่อวัน และตรวจเชิงรุกให้ได้ทั้งหมดอย่างน้อย 20,000 คน ก่อนจะนำไปสู่ขั้นตอนส่งรักษาตัวต่อไป เพื่อจำกัดวงแพร่ระบาดให้เล็กที่สุด พร้อมทั้งการระดมฉีดให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยง ซึ่งล่าสุดได้รับรายงานว่ากระทรวงสาธารณสุข กระทรวงคมนาคม และการท่าเรือแห่งประเทศไทย ได้จัดพื้นที่ตรวจเชิงรุกให้ชาวคลองเตยได้อีก 700 คนต่อวัน อย่างไรก็ตาม อีกประเด็นที่ให้มีการแก้ปัญหาคือ การสำรองเตียงให้กับผู้ป่วยอาการหนัก โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งแม้ขณะนี้จะมีเพียงพอ แต่ก็ไม่สามารถนิ่งนอนใจได้ ต้องมีการขยายเพิ่มเพื่อรองรับผู้ป่วยอาการหนักในกรณีฉุกเฉิน และมีแผนการบริหารจัดการผู้ป่วยอาการหนักที่จะมีเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้สามารถดูแลผู้ป่วยได้อย่างทั่วถึง โดยหลักการที่ตนเน้นย้ำเป็นหัวใจของการจัดการสถานการณ์คือ ต้องทำทุกอย่างเพื่อลดการสูญเสียให้มากที่สุด

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวด้วยว่า สำหรับยาฟาวิพิราเวียร์ที่ใช้ในการรักษา แม้จะมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้น แต่ยืนยันว่าเรามีการสำรองไว้แล้วอย่างเพียงพอในสต็อค 1.5 ล้านเม็ด กระจายไปยังทุกเขตทุกภาคทั่วประเทศ และจะได้รับเพิ่มอีก 3 ล้านเม็ดในเดือนนี้ ดังนั้น จึงไม่ต้องกังวล นอกจากนี้ กำลังพิจารณาจะให้ยาดังกล่าวในขั้นตอนใดเพิ่มขึ้นอีกนอกจากให้ช่วงที่มีอาการหนัก ซึ่งวันนี้กระทรวงสาธารณสุขกำลังพิจารณาอยู่ อีกทั้งยังมีการศึกษาว่า จะหายาอะไรเพิ่มเติมอีกตามที่จำเป็น ซึ่งต้องได้มาตรฐานและการยอมรับ ทั้งนี้ รัฐบาลมีนโยบายในการดูแลคนไทยทุกคนในการรักษาโควิด-19 โดยรัฐจะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายตามสิทธิ์การรักษาของผู้ป่วย ในกรณีโรงพยาบาลเอกชน จะได้รับค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 บาททุกรายการ สำหรับการจัดหาและฉีดวัคซีนนั้น รัฐบาลได้กำหนดเป็นมาตรการเร่งด่วน โดยมีเป้าหมายภายในสิ้นปีนี้ประชากรของประเทศไทยต้องได้รับวัคซีนอย่างน้อยร้อยละ 70 หรือคิดเป็น 50 ล้านคน โดยใช้วัคซีนจำนวน 100 ล้านโดส ซึ่งขณะนี้มีวัคซีนตามแผนแล้ว 63 ล้านโดส โดย 61 ล้านโดสเป็นของบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า ที่จะส่งมอบในเดือน มิ.ย.2564 ขณะที่เดือน พ.ค.2564 จะได้รับวัคซีนซิโนแวคเพิ่มเติมจากแผนอีก 3.5 ล้านโดส นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขยังเสนอแผนจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมของบริษัทไฟเซอร์ 5-20 ล้านโดส และวัคซีนสปุตนิก จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน และซิโนแวค อีกบริษัทละ 5-10 ล้านโดส รวมทั้งวัคซีนอื่นๆ อีกในอนาคตด้วย

“ผมในฐานะนายกรัฐมนตรี และ ผอ.ศบค. และคณะกรรมการต่างๆ ทุกภาคส่วน จะไม่มีวันท้อถอยหรือท้อแท้ ไม่ว่าจะต้องเผชิญกับปัญหาใดๆ และจะไม่หยุดในการคิดและทำเพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนทุกคนให้ปลอดภัย และให้ประเทศไทยที่รักของเราทุกคน ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง แข็งแรงอย่างยั่งยืน”นายกรัฐมนตรีกล่าว