รัฐบาลกำลังเจอศึกหนักจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ พรรคฝ่ายค้านตั้งเป้าชำแหละลากไส้กรณีการบริหารจัดการสถานการณ์โควิดล้มเหลว ซึ่งตำบลกระสุนตกคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ( ศบค.) และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข การอภิปรายจะเริ่มระหว่างวันที่ 31 ส.ค.- 3 ก.ย. ก่อนจะโหวตในวันที่ 4 ก.ย. นี้
โดยกรอบเวลาการอภิปรายของฝ่ายค้านมี 40 ชั่วโมง นายสุทิน คลังแสง ประธานวิปฝ่ายค้านบอกว่า “เฉพาะบิ๊กตู่กับเสี่ยหนูก็ 33 ชั่วโมง” ขณะที่รัฐมนตรีอื่นที่จะถูกอภิปราย คือ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม , นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน , นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ , นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ( ดีอีเอส ) คนละ 1 ชั่วโมง
ความเปลี่ยนแปลงหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร ?
เป็นสิ่งที่น่าสนใจเรื่องเสียงโหวต ที่มี “รายงานข่าว”การต่อรองเกิดขึ้น โดยเมื่อวันที่ 30 ส.ค. พรรคพลังประชารัฐ ( พปชร.) มีการประชุมที่นายวิรัช รัตนเศรษฐ และนายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค พปชร. เป็นประธานการประชุม ใช้เวลาสั้นๆ ไม่ถึง 30 นาที
นายไพบูลย์ อ่านข้อบังคับพรรคเรื่องการโหวตและย้ำว่า “ส.ส.มีเอกสิทธิ์แต่ต้องดำรงไว้ซึ่งฐานะสมาชิกพรรค” ก่อนเสร็จสิ้นการประชุมที่ใช้เวลาประมาณ 30 นาที และนายวิรัช ให้สัมภาษณ์ว่าท่าทีการโหวตน่าจะเป็นในทิศทางเดียวกัน พรรคร่วมรัฐบาลยังรักกันมั่นคง ..แต่ที่น่าสนใจคือคำว่า “ส.ส.มีเอกสิทธิ์” จึงไม่รู้ว่า จะเกิดการ“แหกมติ”เหมือนการอภิปรายครั้งที่ผ่านมาที่ ส.ส.กลุ่มดาวฤกษ์พร้อมใจกันเทไม่ลงคะแนนไว้วางใจให้นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ หรือไม่
หลังการประชุม ส.ส.พรรค พปชร. เสร็จลง บรรดาแกนนำพรรคระดับรัฐมนตรี ส.ส. และสมาชิกพรรคประมาณ 30-40 คน ได้เดินทางออกจากพรรค เพื่อเข้าพบ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรค พปชร. ที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ ซึ่งเป็นการคุยเชิงลับ ป้องกันการอัดเสียงหรือการแอบเปิดสายสนทนาให้ใครฟัง เลยมีการสั่งเก็บโทรศัพท์มือถือของทุกคน
จิ้งจกในห้องประชุมรายงานว่า “พี่ใหญ่ 3 ป.” ถามกลางที่ประชุมกันเลยทีเดียว ถึงกระแสข่าการกดดันนายกฯ เพื่อเปลี่ยนขั้วทางการเมือง ซึ่งเรื่องนี้ “พล.อ.ประยุทธ์” เองก็รู้ว่า“สมาชิกพรรคบางส่วนไม่เอานายกฯ” และได้ไลน์มาเล่าให้ “พล.อ.ประวิตร” รู้เรียบร้อยแล้ว .. และ “พล.อ.ประวิตร” ได้เคลียร์ใจในที่ประชุม
จากที่ ส.ส.หลายคนระบายว่า น้อยใจ“พล.อ.ประยุทธ์ ” ที่ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับ ส.ส. ว่า นายกฯ เหนื่อยมาก ที่ไม่มีเวลามาดูแลก็อย่าเพิ่งน้อยใจ และ “พี่ใหญ่ 3 ป.” คงเห็นสัญญาณอะไรแปลกๆ เลยย้ำอีกว่า “ห้ามไปแจกกล้วยให้พรรคเล็ก เพื่อคว่ำนายกฯ หรือ 2 รัฐมนตรีพรรคภูมิใจไทย ให้โหวตในทิศทางเดียวกันทั้งหมด” ซึ่งระหว่างนั้น นายเนวิน ชิดชอบ พี่ชาย “เสี่ยโอ๋ ศักดิ์สยาม” ได้ต่อสายตรงถึง “บิ๊กป้อม” คาดว่าสอบถามเรื่องการโหวต และหัวหน้าพรรค พปชร.ยืนยัน“ไม่มีปัญหา”
“พรายกระซิบ” บอกว่า ฝ่ายที่เคลื่อนไหวเพื่อการเปลี่ยนขั้ว คือกลุ่ม “3 ช.” หรือ 3 รัฐมนตรีช่วยว่าการ ได้แก่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ , นายวิรัช รัตนเศรษฐ ประธานวิปรัฐบาล ที่มีลูกชายคือนายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ เป็น รมช.คมนาคม และนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมช.แรงงาน ..เมื่อหัวหน้าพรรคดักคอ ในที่ประชุมต่างก็ประสานเสียงกันว่า ไม่มีอะไรไม่มีการเปลี่ยนขั้วใดๆ ทั้งสิ้น พร้อมทั้งยังสนับสนุนการทำงานของ “บิ๊กตู่”
อย่างไรก็ตาม ข่าวความพยายามสลับเก้าอี้รัฐมนตรีในส่วนของ พปชร. ก็มีมาเรื่อยๆ โดยกลุ่ม 3 ช. “จ้องเลื่อยขาว่าการหน้าใหม่” เพื่อขึ้นนั่งว่าการแทนเป็น “3 ว.” ร.อ.ธรรมนัส จ่อเสียบเก้าอี้ว่าการแรงงาน แทนนายสุชาติ ชมกลิ่น ส่วน นางนฤมล เล็ง รมว.ศึกษาธิการแทน น.ส.ตรีนุช เทียนทอง และนายอธิรัฐ เล็งเก้าอี้ว่าการดีอีเอส
“กล้วย” กลายเป็นตัวแปรสำคัญที่กดดัน“บิ๊กตู่” ในการต่อรองคะแนนโหวตไว้วางใจเสียแล้ว.. เบื้องต้นที่ต้องจับตาเสียงโหวตก่อนคือ “เสียงพรรคเล็ก” ที่ขวางหูขวางตาพรรคใหญ่จากกรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นทุนเดิม เปลี่ยนระบบเลือกตั้งเป็นบัตร 2 ใบ พร้อมคิดสัดส่วน ส.ส.เขต 400 คน และปาร์ตี้ลิสต์ 100 คน ทำให้พรรคเล็กมีโอกาสสูญพันธุ์ ต้องไปสู้กันตอนแก้ไข พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ว่า “จะใช้คะแนนกี่เปอร์เซ็นต์เพื่อได้ปาร์ตี้ลิสต์ 1 คน”
และยังไม่รู้ว่า มีกลุ่มก๊วนไหนใน พปชร. หรือกระทั่งพรรคร่วมรัฐบาลที่จะเป็น “งูเห่ากินกล้วย” หวังให้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอีกบ้าง ซึ่งค่ากล้วยที่ว่านี้คงแพงอยู่ถ้าถึงขนาดนายกฯ รู้ว่ามีกระแสกดดัน
ถ้าจะประเมินนาทีนี้“กล้วย”แพงพอที่จะเปลี่ยนขั้วทางการเมืองหรือไม่ ? ..คิดว่า “บิ๊กตู่” เองน่าจะรอดคะแนนโหวตไว้วางใจผ่าน เพราะถ้า “บิ๊กตู่”ถูกคว่ำ ก็ต้องลาออกหรือยุบสภา ..ถ้ายุบสภา ความไม่พร้อมก็มีหลายอย่าง ทั้งการเป็นรัฐบาลรักษาการที่ใช้อำนาจได้ไม่เต็มที่ในช่วงบริหารสถานการณ์โควิด การหาเสียงที่ยังไม่สะดวกนักในภาวะแพร่ระบาดของโรค และการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ยังไม่เสร็จสะเด็ดน้ำ
ถ้าลาออกต้องโหวตเลือกนายกฯ ใหม่ แม้จะมีเสียง ส.ว.ช่วยเลือก แต่ขณะนี้ยังไม่มีตัวที่น่าจับตาว่าใครจะมาเป็นแทน แม้จะให้มีการเลือกนายกฯ นอกบัญชีพรรคการเมือง..แต่การที่ “บิ๊กป้อม”อยู่ๆ พูดถึง กระแสการกดดันนายกฯให้เปลี่ยนขั้วทางการเมือง ก็น่าคิด ว่ามี “ตาอยู่” รอเสียบหรือไม่ ..มีใครไปคุยกับ ส.ว.หรือยัง ?
ก้าวแรกของการเปลี่ยนขั้วทางการเมือง จึงน่าสนใจโฟกัสที่การปรับ ครม. หลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ รัฐมนตรีที่เสียงไว้วางใจน้อยกว่าชาวบ้าน อาจถูกใช้เรื่องนี้ปรับออกแบบ“สมบัติผลักกันชม” เปลี่ยนให้ “เจ้าของสวนกล้วยและเดอะแก๊งค์” นั่งว่าการบ้าง เก้าอี้ที่ดูจะ “ร้อน” ที่สุดคือแรงงานและดีอีเอสนี่แหละ เพราะเจ้ากระทรวงถูกซักฟอก
ในช่วง 3 วันที่มีการอภิปราย ก่อนการโหวต ..น่าสงสัยตงิดๆ ว่า จะมีการเดินเกมกดดันที่เข้มข้นขึ้นหรือไม่ ..อย่าลืมว่าการเมืองเป็นเรื่องของผลประโยชน์ คุยกันไม่ได้ ไม่ลงตัวก็ แตกหักกันได้
จับตาไว้ให้ดีเถอะ จะกลายเป็นทหารไม่ทันเกมนักการเมือง ถูกเปลี่ยนขั้วยึดพรรค นักการเมืองยึดอำนาจกันหรือเปล่า ..หรือนี่คือศึกวัดบารมี “บิ๊กป้อม-บิ๊กตู่”แล้วว่าจะสยบความเคลื่อนไหว คงเสถียรภาพของ คสช.ไว้ได้แค่ไหน นักการเมืองเข้ามาได้ด้วยอำนาจ คสช. พอถึงเวลาก็หาวิธีเอาอำนาจคืน ย้ำคำว่า “สมบัติผลัดกันชม”