‘วิสาร’ อัด ‘ประยุทธ์’ ปล่อยทุจริตวงการตำรวจ แฉล็อกสเปคตั้งศูนย์191

‘วิสาร’ อัด ‘ประยุทธ์’ ปล่อยทุจริตวงการตำรวจ เพิกเฉยสินบนตำแหน่ง แฉ งบ 7 พันล้านตั้งศูนย์ 191  ล็อกสเปค

วันที่ 2 ก.ย. 2564 นายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย อภิปรายไม่ไว้วางใจการทำงานของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยพุ่งเป้าไปในเรื่องการกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ที่ปล่อยปละละเลยให้มีการแต่งตั้งโยกย้ายตำแหน่งโดยไม่สุจริตและชอบธรรม มีกระบวนการจ่ายสินบนเพื่อซื้อตำแหน่งตั้งแต่ระดับปฏิบัติไปจนถึงระดับบังคับบัญชา

“ในหน่วยงานหนึ่ง ตำแหน่งผู้บัญชาการ จ่ายถึงสองร้อยล้าน ยังไม่ได้ตำแหน่ง แล้วคนที่ได้ตำแหน่ง จะต้องจ่ายกันเท่าไร” นายวิสารกล่าว

พร้อมระบุว่า การใช้เงินจำนวนมากเพื่อซื้อตำแหน่ง ถือว่าเป็นความอัปยศของวงการตำรวจ ที่เป็นผู้พิทักษ์กฎหมายหมายและความยุติธรรม ซึ่งผลกระทบที่จะตกอยู่กับประชาชน คือ เมื่อมีการลงทุนจ่ายเงินซื้อตำแหน่งในจำนวนสูงๆ ก็ย่อมจะต้องหาช่องทางที่จะเรียกเงินคืน จึงได้เห็นตำรวจไปรีดไถเงินจากประชาชน การรับสินบนจากคดีต่างๆ ทั้งบ่อนพนัน ยาเสพติด รถหรูผิดกฎหมาย ลักลอบนำแรงงานเถื่อนเข้าประเทศ เป็นต้น

นายวิสาร เห็นว่า สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นเหล่านี้นายกรัฐมนตรีไม่ได้เหลียวแลแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง แต่กลับดูดายนิ่งเฉย และเชื่อว่าจากนี้ไปคงจะมีตำรวจที่กระทำพฤติกรรมในลักษณะเดียวกับ “โจ้ เฟอร์รารี่”  หรืออดีต ผู้กำกับโจ้ อีกมาก ดังนั้นจะปล่อยให้นายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติต่อไปได้อย่างไร

นอกจากนี้ นายวิสาร ยังชี้ให้เห็นถึงโครงการที่ส่อทุจริต คือ การจัดตั้งศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉินแห่งชาติ ของ สตช. มูลค่า 7 พันกว่าล้านบาท ซึ่งเป็นการรวมศูนย์การรับแจ้งเหตุฉุกเฉินต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุ เจ็บป่วย สาธารณภัยต่างๆ มาไว้ที่ส่วนกลาง ทั้งที่จริง ๆ แล้วภายในแต่ละท้องถิ่นเองก็สามารถดำเนินการกันเองได้ดีอยู่แล้ว

โดยเฉพาะโครงการตั้งศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉินแห่งชาติ หรือ191 ซึ่งมีเงินนอกงบประมาณเป็นแสนล้าน นอกจากนี้ยังมีในส่วนของงบกว่า7พันล้านจากกสทช.ที่นำมาให้สตช.จัดตั้งศูนย์ ขณะที่การดำเนินโครงการพบว่ามีการดำเนินการที่กลับไปกลับมา มีการล็อกสเปค มีการเตรียมผู้ที่จะได้งาน นอกจากนี้ยังพบความเชื่อมโยงของบริษัทเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่มีความเชื่อมโยงกับพล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกฯ ซึ่งขณะนั้นไม่ได้รับผิดชอบสำนักงานตำรวจเข้าไปเกี่ยวข้อง

ขณะที่การประมูลยังพบว่ามีการยกเลิกประมูลและแก้ไขทีโออาร์ไปมาโดยนายกฯไม่ได้ไปกำกับดูแลด้วยตนเอง นอกจากนี้ยังพบว่า โครงการดังกล่าวมีบริษัทมาสเตอร์เมคเกอร์ เป็นบริษัทที่ปรึกษา

กรณีดังกล่าวตนต้องการชี้ให้เห็นว่า อาจไปคล้ายกับโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจพิสูจน์บุคคลโดยเทคโนโลยี หรือ ไบโอเมตริกส์ ซึ่งตนได้อภิปรายไปเมื่อครั้งที่แล้ว ซึ่งไม่ต้องบอกว่าผลประโยชน์จะไปเข้ากระเป๋าใคร ที่ผ่านมีบุคคลรอบข้างพล.อ.ประยุทธ์เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตหลายครั้งท่านเคยรับรู้บ้างหรือไม่

โดยโครงการนี้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติอนุมัติไว้ตั้งแต่เดือน ธ.ค.61 แต่มีการยกเลิกประมูล และกลับมาประมูลใหม่หลายรอบ มีการแก้ไขทีโออาร์เอื้อให้กับเอกชน เป็นโครงการที่มีการล็อกสเป็ค และเตรียมจัดหาบริษัทผู้ที่จะชนะประมูลงานไว้แล้ว ขณะเดียวกันยังมีการจ้างบริษัทที่ปรึกษาโครงการด้วยเงินถึง 143 ล้านบาท ในระยะการดำเนินงานเพียง 6 เดือนเท่านั้น ดังนั้นจึงต้องจับตาว่าเค้กก้อนโตนี้ จะไปตกอยู่ในมือใครบ้าง