SHARE

คัดลอกแล้ว

มติวุฒิสภา 174 ต่อ 7 เบรก ตำรวจออกหมายเรียก ‘สว.อุปกิต’ ดำเนินคดีระหว่างสมัยประชุม เจ้าตัวยันไม่เกี่ยวฟอกเงิน-ยาเสพติด

ที่ประชุมวุฒิสภา (สว.) โดยมีนายศุภชัย สมเจริญ รองประธานวุฒิสภา คนที่ 2 ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม พิจารณาวาระเรื่องด่วน การขอออกหมายเรียก สว. สอบสวนในฐานะผู้ต้องหาคดีอาญา ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา125

นายศุภชัย กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) มีหนังสือมายังวุฒิสภา ขออนุญาตออกหมายเรียกตัว นายอุปกิต ปาจรียางกูล สว. ไปสอบสวนและแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมตาม มาตรา11/7 พ.ร.บ.วิธีพิจารณายาเสพติด พ.ศ.2550 ในฐานะผู้ต้องหาคดีอาญา มาตรา 127 แต่รัฐธรรมนูญ มาตรา125 ระบุว่า ระหว่างสมัยประชุมห้ามจับคุมขัง หรือหมายเรียกตัว สส. หรือ สว. ไปสอบสวน ในฐานะเป็นผู้ต้องหาคดีอาญา เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากสภาฯ ที่ผู้นั้นเป็นสมาชิก หรือเป็นการจับขณะกระทำความผิด การที่ ตร. มีหนังสือมายังวุฒิสภา เพื่อออกหมายเรียกตัวนายอุปกิตไปสอบสวน ในฐานะเป็นผู้ต้องหาคดีอาญาระหว่างสมัยประชุม จำเป็นต้องเป็นมติที่ประชุมวุฒิสภา ตามมาตรา 125 ก่อน

จากนั้นนายอุปกิต ชี้แจงว่า ขอบคุณที่ประชุมวุฒิสภาให้ชี้แจงข้อเท็จจริง เนื่องจากถูกกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรมได้รับความทุกข์ทรมานมากว่า 1ปี ขอยืนยันความบริสุทธิ์ ก่อนเป็นสว.ในปี2562 ได้ออกจากกรรมการหุ้นส่วน ไม่ได้เกี่ยวข้องกับบริษัท อัลลัวร์ กรุ๊ป ที่ผ่านมาเกือบ 15ปี ตนเป็นตัวแทนซื้อขายไฟระหว่างไทยกับเมียนมาร์ ที่ด่านท่าขี้เหล็ก ไม่เคยมีปัญหาแม้แต่ครั้งเดียว เนื่องจากขออนุมัตินำเงินสดออกไปทำแคชเชียร์เช็กที่ธนาคาร และนำไปจ่ายที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค(กฟภ.) แต่ปัญหาเกิดขึ้นปี 2563– 2565 ที่ด่านปิดจากสถานการณ์โควิด-19 นายทุน มิน ลัต นักธุรกิจเมียนมาร์เข้ามาทำธุรกิจไฟฟ้าต่อจากตน ช่วงที่ชายแดนไทย–เมียนมาร์ ปิดมีความจำเป็น ต้องชำระเงินผ่าน Money changer (MC) ที่เป็นวิธีเดียวที่สามารถโอนเงินตามปกติของการค้าชายแดน การโอนเงินผ่าน MC นายทุน มิน ลัต เอาเงินไปให้ MC ฝั่งเมียนมาร์ โดยที่เงินไม่ได้รับการโอนมาจริงๆ MC คนดังกล่าวได้หาบัญชีต่างๆของบุคคลที่ต้องการรับเงินในฝั่งเมียนมาร์ และสั่งให้โอนเงินต่อไปยังจุดมุ่งหมายของผู้ที่จะโอน กรณีนี้คือโอนไปที่ กฟภ. เมื่อพนักงานสืบสวนนครบาลเห็นเส้นทางการชำระค่าไฟฟ้า ก็กล่าวหาเป็นบัญชียาเสพติด ด่วนสรุปการกระทำความผิดเป็นเพียงเรื่องโอนเงินชำระค่าไฟตามบิลของ กฟภ. มูลค่าที่มาจากบัญชีที่ไม่ดีเป็นเพียง 2–3% ของมูลค่าการซื้อขายไฟ

นายอุปกิต กล่าวว่า ทราบว่าก่อนหน้านี้พนักงานสืบสวนได้เรียกบริษัทที่ทำธุรกิจใกล้เคียงกันคือ การนำน้ำมันไปขายฝั่งเมียนมาร์มาถามว่าได้รับเงินค่าอะไร เขาตอบว่าได้รับเงินค่าน้ำมัน โดยเอาใบเสร็จที่ไม่ได้มาตรฐาน บอกพนักงานสืบสวนว่า รับเงินมาจากลุงคำ ไม่ทราบนามสกุล ทำให้พนักสืบสวนเลือกดำเนินคดีกับบริษัทที่เคยเกี่ยวข้องกับตน จากเอกสารโจทก์ในคดีนายทุน มิน ลัต มีมากกว่า 112 บริษัท และบุคคลอีกจำนวนมากที่รับเงินจากบัญชีที่ตำรวจกล่าวหาว่าเป็นบัญชียาเสพติด ไม่มีใครที่จะเอาค่าไฟฟ้าที่ถูกกฎหมายไปฟอกผ่าน MC ให้เป็นเงินผิดกฎหมาย หลังจากที่บุคคลในเครือบริษัทที่เกี่ยวข้องกับตนถูกจับกุมตัว ผู้ว่าฯทั้งสองประเทศได้คุย และตัดสินใจ ว่าจะดำเนินธุรกิจไฟต่อ ไม่ให้ประชาชนเดือดร้อน จึงให้ฝั่งเมียนมาร์เป็นผู้รับผิดชอบโอนเงิน การไฟฟ้าของเมียนมาร์ได้โอนเงินผ่าน MCคนเดิม วิธีเดิม ทุกอย่างในช่วงที่ด่านปิด ทำให้เห็นได้ชัดว่าการโอนเงินแบบนี้คือเรื่องปกติ แต่ที่ผิดปกติคือบริษัทในเครือที่เคยเกี่ยวข้องกับตน ถูกดำเนินคดีเพียงบริษัทเดียว ต้องการชี้ให้เห็นว่า การโอนเงินผ่าน MC เป็นปกติวิสัยของการทำธุรกิจค้าขายชายแดน

นายอุปกิต กล่าวด้วยว่า ส่วนกรณีนายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เคยอภิปรายตนในการอภิปรายไม่ไว้วางใจแบบไม่ลงมติ กล่าวหาตนเป็น “สว.ทรงเอ” ปรักปรำพัวพันขบวนการค้ายาเสพติด เอาหลักฐานเท็จจากเจ้าหน้าที่ตำรวจบางคนส่งมาให้มาอภิปรายตน อาทิ แชทบบทสนทนาการพูดคุยระหว่างตนกับนายทุน มิน ลัต ที่มีการบิดเบือนบทสนทนาเรื่องการทำธุรกิจซื้อขายไฟฟ้าเป็นเท็จ กล่าวหาบริษัทของตนรับโอนเงินจากบริษัทที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ทั้งที่มีอีก 112 บริษัท ที่มีการรับโอนเงินจากบริษัทที่ถูกกล่าวหาเรื่องยาเสพติด แต่ 112บริษัท เหล่านี้ไม่ถูกดำเนินคดี ยืนยันไม่เคยเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติด ไม่มีอะไรมาเชื่อมโยงถึงตน ส่วนการออกหมายจับตนต่อศาลก็ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีการบอกว่า ขอออกหมายจับผู้ดำรงตำแหน่งทางการ เมือง การปล่อยให้ตำรวจออกหมายจับตามอำเภอใจอาจกลั่นแกล้งกันได้ ในที่สุดศาลจึงยกเลิกหมายจับ ขณะนี้ตนฟ้องนายรังสิมันต์ โรม ข้อหาหมิ่นประมาท 2 คดี โดยคดีแรกศาลประทับรับฟ้องแล้ว เรื่องนี้เป็นทฤษฎีสมคบคิดของตำรวจบางคนที่มีภริยาเป็นผู้สมัคร สส.พรรคการเมืองหนึ่งในขณะนั้น และปัจจุบันเป็นสส.กทม. พรรคการเมืองหนึ่ง ทำงานเป็นกระบวนการ ให้นายรังสิมันต์อภิปรายโจมตีตน เพื่อหวังผลประโยชน์การเมือง ให้สว.แปดเปื้อน โยงไปถึงอดีตนายกฯที่มีส่วนสรรหาสว. เล่นการเมืองสกปรก อ้างเป็นคนรุ่นใหม่ แต่ยังใช้วิธีสกปรกมาก เอาดีใส่ตัว เอาชั่วให้คนอื่น

“ผมอยากชี้ให้เห็นข้อบกพร่อง ทั้งกระบวนการออกหมายจับ ขั้นตอนในชั้นอัยการ ผิดจากธรรมเนียมปฏิบัติ ผมมาจากตระกูลที่รับใช้แผ่นดินมา 3ชั่วอายุคน บิดาผมเป็นอดีตทูต 6 ประเทศ ผมและครอบครัวตระหนักถึงบุญคุณแผ่นดิน ไม่มีวันทำอะไรเลวร้ายตามที่ถูกกล่าวหา และถึงแม้ตนจะประกาศสละสิทธิไม่ขอรับเอกสิทธิคุ้มครอง เรื่องการขออนุญาตจากที่ประชุมวุฒิสภาให้ส่งตัวไปดำเนินคดี ตามรัฐธรรมนูญมาตรา125 แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะทุกอย่างต้องได้รับการอนุญาตจากที่ประชุมวุฒิสภา ผมแสดงเจตนาพร้อมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ไม่ต้องรอปิดสมัยประชุมวันที่ 30ต.ค.นี้ เพราะไม่ประสงค์ให้ใครเอาไปเป็นประเด็นวิจารณ์วุฒิสภา ขอกราบเรียนประธานและสมาชิกทุกคนว่า ผมพร้อมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ที่ผมยังมีความเชื่อมั่นอยู่ โดยไม่จำเป็นต้องขอความคุ้มครองใดๆ” นายอุปกิต กล่าวด้วยน้ำเสียงสะอื้น

หลังจากแล้วเสร็จกการอภิปราย พล.อ.สิงห์ศึก สิงห์ไพร รองประธานวุฒิสภา คนที่ 1 ในฐานะประธานในที่ประชุม ประกาศให้ลงคะแนน โดยเกณฑ์การออกเสียงจะยึดเสียงข้างมากเป็นประมาณ และผลการลงมติพบว่า เสียงข้างมาก 174 เสียงไม่เห็นด้วยกับการออกหมายเรียกตัวนายอุปกิต ไปสอบสวนฐานะผู้ต้องหาคดีอาญาระหว่างสมัยประชุม ต่อ 7 เสียง และมี สว.ที่งดออกเสียง10เสียง

ด้าน นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ระบุว่า เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ผมผิดหวังต่อการทำงานของวุฒิสภา จากการโหวตเพื่อขัดขวางการเรียกตัวสมาชิกวุฒิสภา ‘อุปกิต ปาจรียางกูร’ ไปทำการสอบสวนในฐานะผู้ต้องหาคดียาเสพติดโดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า ทั้งที่กระบวนการต่างๆ ตั้งแต่ก่อนการออกหมายจับ ที่ถูกเพิกถอนไปก่อนหน้านี้ รวมทั้งความพยายามของตำรวจในการออกหมายเรียก ตำรวจก็ต้องนำเสนอพยานหลักฐานต่อศาล เพื่อให้เกิดความแน่นอนในระดับหนึ่งอยู่แล้ว ดังนั้น พยานหลักฐานของตำรวจจึงต้องชัดเจนในระดับที่ชี้แล้วว่านายอุปกิตมีความเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ถึงจะสามารถนำตัวนายอุปกิตซึ่งเป็น สว. เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมได้ แต่เมื่อวุฒิสภามีมติเช่นนี้ ตัดสินใจไม่ส่งนายอุปกิตไปรับทราบข้อกล่าวหา เท่ากับว่า สว.กำลังปกป้องคนที่ค้ายาหรือไม่ เพราะตอนนี้ทุกคนทราบดีว่ายาเสพติดเต็มบ้านเมืองไปหมดและเป็นสิ่งที่ทำลายลูกหลานของเรา และไม่รู้ได้เลยว่ายาเสพติดที่นายอุปกิตเข้าไปผัวพันอยู่ในสังคมมากน้อยเพียงใด ผมจึงไม่สามารถเข้าใจได้เลยว่า ทำไมสว. ถึงมีมติเช่นนี้ และจะใช้กลไกของสภาในการปกป้องนายอุปกิตไปทำไม แทนที่จะส่งตัวนายอุปกิตเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ซึ่งจะเป็นผลดีต่อประเทศ และตัวนายอุปกิตเองเสียด้วยซ้ำ

ที่ผ่านมา สว. พูดว่าการเลือกนายกรัฐมนตรี ต้องทำโดยอาศัยความละเอียดรอบคอบ และเป็นกังวลกันนักหนาว่าหากเลือกนายกที่ไม่ดีเข้ามา จะต้องร่วมรับผิดชอบ ถึงขนาดกลัวว่าจะโดนริบเครื่องราชย์ก็มี แต่เมื่อวันนี้ สว. กลับร่วมใจกันปกป้องคนที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดที่ทำลายประเทศ ดังนั้น หากนายอุปกิตเกี่ยวข้องกับยาเสพติดจริงๆ สว.ทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง จะรับผิดชอบกับเรื่องนี้อย่างไร เพราะสว.เหล่านี้เอง ที่เป็นคนเตะถ่วงกระบวนการยุติธรรมให้ล่าช้าออกไป

ผมขอย้ำเตือนอีกครั้งว่าคดีสมคบค้ายาเสพติด ที่ตำรวจรอแจ้งข้อกล่าวหาให้แก่อุปกิตไม่ใช่คดีเล็กน้อย ซึ่งถ้าหากนายอุปกิตพร้อมที่จะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ก็สามารถขอร้องให้วุฒิสภาอนุญาติให้ส่งตนเองให้ตำรวจ นายอุปกิตก็สามารถเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมได้ทันที แต่การใช้กลไกสภาในการช่วยกันเตะถ่วงกระบวนการให้ล่าช้าต่างหาก ที่เป็นการด้อยค่ากระบวนการยุติธรรม และมากไปกว่านั้น ยังกล่าวหาผมด้วยว่า ผมด้อยค่ากระบวนการยุติธรรม ทั้งที่ผมไม่สามารถไปด้อยค่าใครได้ นอกจากว่าจะทำตัวเอง กรณีอย่างผู้พิพากษาที่ถูกตั้งกรรมการสอบ ผมก็ไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงได้ รวมทั้งคำสั่งแจ้งข้อกล่าวหายาเสพติดที่เป็นอำนาจของอัยการสูงสุด ผมก็ไม่สามารถแทรกแซงได้ สิ่งที่ผมทำได้คือการตรวจสอบและการส่งเสียงให้แก่สังคมได้รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นี่คือสิ่งที่มากที่สุดที่ผมสามารถทำได้ แต่ทั้งหมายเรียก หมายจับ และการพยายามนำตัว นายอุปกิต มาสอบสวน เกิดขึ้นจากพยานหลักฐานที่เจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมรวบรวมมาทั้งสิ้น ดังนั้น การใช้กลไกทางสภา การอาศัยเอกสิทธิ์ความคุ้มกันในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติ ไม่ยอมเข้าสู่กระบวนการทางอาญาทั้งที่เป็นข้อหาร้ายแรง ผมต้องถามครับ

นอกจากนี้ นายรังสิมันต์ ตั้งคำถามว่า ใครกันแน่ที่ด้อยค่ากระบวนการยุติธรรม? ใครกันแน่ที่เป็นคนด้อยค่ากระบวนการนิติบัญญัติ? และว่า แม้ว่าวันนี้อุปกิตยังลอยนวลอยู่ในสภาได้ต่อไป แต่เมื่อวันที่สภาได้ปิดสมัยประชุม และผมจะติดตามข้อต่อสู้ในชั้นศาลของนายอุปกิต และการทำงานของ ผบ.ตร.คนใหม่ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ว่าจะดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจังในการเอาตัวผู้ที่เกี่ยวข้องับยาเสพติดมาลงโทษ นอกจากนี้ผมก็หวังว่าตำรวจทุกภาคส่วน จะนำตัวนายอุปกิตเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมและประชาชนทุกคนอยากเห็นมากที่สุด

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า