“มีลุง ไม่มีแล้ง” พลังประชารัฐ เปิดนโยบาย แก้ปัญหาจัดการน้ำ-ที่ดิน

‘พลังประชารัฐ’ เปิดนโยบายเพิ่มต่อจากเติมเงิน 700 บาทเข้าบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ชูแก้ปัญหาจัดการน้ำ-ที่ดิน

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เปิดนโยบายพรรคอีก 2 เรื่อง คือ เรื่องน้ำ และเรื่องที่ดิน  โดบสรุประบุว่า จากการทำงานในพื้นที่ ได้ไปติดตามรับฟัง และแก้ปัญหาน้ำและที่ดินทั่วประเทศ โดยเฉพาะเรื่องน้ำ ที่ได้นำมาสู่การทำแผนแม่บทบูรณาการ 38 หน่วยงาน ทำผังน้ำ พัฒนาแหล่งน้ำผิวดิน น้ำบาดาล น้ำประปา น้ำเพื่อการเกษตร ออกมาตรการฤดูแล้ง มาตรการฤดูฝน ผลงานชัดๆ ก็คือ 3 ปีนี้ ไม่มีการประกาศพื้นที่ภัยแล้งเลย ยืนยันว่า “มีลุง ไม่มีแล้ง”

ดังนั้น เรื่องน้ำและที่ดิน เป็นนโยบายต่อเนื่องจากนโยบายเพิ่มเงินสวัสดิการในบัตรประชารัฐเป็น 700 บาทต่อเดือน ซึ่งได้รับกระแสตอบรับจากประชาชนเป็นอย่างดี แต่นโยบายของพรรค ยังมีอีกหลายด้านที่มุ่งเน้นให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น “อยู่ดีกินดี” เพราะทุกวันนี้ ปัญหาความยากจนยังคงมีอยู่ พรรคพลังประชารัฐ พร้อมขจัดปัญหาความยากจน โดยประกาศเป็นวาระแห่งชาติ เพื่อแก้ปัญหาที่สำคัญ เช่น ปัญหาหนี้สิน ปัญหาราคาพืชผลตกต่ำ ปัญหาการบริหารจัดการน้ำ และ ปัญหาที่ดินทำกิน เป็นต้น

2 นโยบายที่พรรคพลังประชารัฐประกาศเพิ่ม

–  พร้อมสานต่อนโยบายการบริหารจัดการน้ำ เติมน้ำในเขื่อนขนาดใหญ่ เพิ่มแหล่งกักเก็บน้ำ เพิ่มแหล่งน้ำสำรอง และแหล่งน้ำทางเลือก แก้ปัญหา น้ำแล้งน้ำท่วมซ้ำซาก จัดทำผังน้ำชุมชน จัดระเบียบทางน้ำทั่วประเทศ ยกระดับการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ เพื่อสร้างความมั่นคงด้านน้ำ พร้อมเผชิญภัยพิบัติจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก ซึ่งจะเป็นการลดความสูญเสียทั่งชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนได้อย่างยั่งยืน

– สานต่อนโยบายบริหารจัดการที่ดิน  “มีเรา มีที่ทำกิน มีที่ดินไม่มีจน” เพื่อให้คนไทยมีที่อยู่อาศัย และที่ทำกิน ด้วยการ “ปฏิรูประบบที่ดิน คืนที่ทำกินให้ประชาชน” โดย เร่งรัดออกเอกสารสิทธิ์ที่ดินทุกประเภท เปลี่ยน ส.ป.ก. เป็นโฉนด จัดที่ดินของรัฐที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ให้คนไร้ที่ทำกินกว่า 2 ล้านราย ยกระดับธนาคารที่ดิน ตั้งศูนย์พิสูจน์และคุ้มครองสิทธิประชาชน ชะลอการดำเนินคดีและนิรโทษกรรมความผิดเกี่ยวกับที่ดิน และสังคายนากฎหมายที่ดินทั้งระบบ เพื่อใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างคุ้มค่าสูงสุดรองรับการพัฒนาประเทศ และคืนความยุติธรรมให้กับประชาชนอย่างเท่าเทียม