‘ณัฐชา’ ก้าวไกล แฉแชตไลน์ข้าราชการระดับสูงกระทรวงมหาดไทย ฮั้วผู้รับเหมาซอยยิบโครงการถนนพาราซอยล์ ใน 7 จังหวัดภาคอีสาน จี้ ‘พล.อ.อนุพงษ์’ ตรวจสอบ พร้อมตั้งคำถามแต่ละคนถูกลงโทษได้ดีถ้วนหน้า
เมื่อเวลา 19.15 น. ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณา ญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล อภิปรายถึงการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูง ระดับอธิบดี และปลัดกระทรวง ของกระทรวงมหาดไทย โดยเหตุการณ์เริ่มตั้งแต่ปี 62 ที่เริ่มทำโครงการ ‘สร้างถนนยางพารา หนึ่งหมู่บ้านหนึ่งกิโลเมตร’ หรือ
‘โครงการพาราซอยล์’ ซึ่งหลังจากมีโครงการดังกล่าวได้ไม่นานราคายางไม่ได้ดีขึ้น แต่เงินในกระเป๋าของข้าราชการระดับสูงหลายคนเพิ่มขึ้น เพราะถนนพาราซอยล์ความสำคัญไม่ใช่แค่น้ำยาง แต่มีองค์ประกอบสำคัญ คือ สารเคมีที่ต้องผสมยางพาราเพื่อทำถนน ซึ่งมีข่าวก่อนหน้านี้ว่าโครงการนี้มีความไม่ชอบมาพากล มีการผูกขาดบริษัทสารเคมีเพื่อผสมน้ำยางในการทำถนน เพียง 3 บริษัท และมีตัวละครเป็นข้าราชการกระทรวงมหาดไทย ระดับรองปลัดเทศบาล อำนาจเจริญ อักษรย่อ พ. มีสามีเป็นนาย ช. ซึ่งเป็นตัวแทนบริษัทค้าสารเคมีที่ต้องผสมน้ำยาง โดยมีเพื่อนรักเป็นเพื่อนสนิทที่ทำถนนพาราซอยล์พอดี ชื่อน.ส. ป. ซึ่งมีการพูดคุยกันว่าต้องแบ่งค่าน้ำร้อนน้ำชาทั้งหมด 15% แบ่งเป็น 5% ส่งให้ท้องถิ่น ส่วนอีก 10% ส่งให้นาย
ระหว่างการอภิปราย นายณัฐชาได้อภิปรายพร้อมแสดงภาพแชตไลน์การพูดคุยกันของบุคคลที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นข้าราชการระดับสูง โดยใช้ชื่อในแชตไลน์ตัวย่อ ‘อสถ.’ ซึ่งการสนทนาส่วนใหญ่ ส่งเอกสารความคืบหน้าโครงการ และพูดถึงรายละเอียดงบประมาณแต่ละโครงการว่า หากโครงการไหนงบประมาณไม่เกิน 10 ล้านบาท เป็นอำนาจของ ‘อสถ.’ ที่จะอนุมัติ ซึ่งสุดท้ายได้มอบหมายให้รองอธิบดีรายหนึ่งเป็นผู้เซ็นอนุมัติโครงการ
ทั้งนี้ เอกสารตั้งแต่ส่งออกถึงการลงนาม ถูกส่งถึงมือผู้รับเหมาเรียบร้อยโดยโครงการดังกล่าว มีมูลค่า 1,870 ล้านบาท ต่อมามีการเปลี่ยนแปลงงบประมาณในโครงการ ทำถนนพาราซอยล์ โดย น.ส. ป. ผู้รับเหมา ได้เงินจากโครงการถนนพาราซอยล์ รวม 394 ล้านบาท จาก 55 โครงการ ในพื้นที่ 7 จังหวัดภาคอีสาน ซึ่งข้อมูลดังกล่าวไม่ผ่านสำนักงบประมาณ แต่อยู่ในมือของ ‘อสถ.’ และมีการโอนเงินไปมาระหว่างกันรวม 39 ล้านบาท ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้น รองปลัดเทศบาลอักษรย่อ พ. คนสนิท ‘อสถ.’ และข้าราชการประจำฮั้วกัน ใช้เส้นสายข้าราชการกระทรวงมหาดไทยในการดำเนินการ
นายณัฐชา กล่าวต่อว่า ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องสกปรกโสโครก ที่ข้าราชการประจำกับข้าราชการระดับสูงทำกันเป็นทอดๆ แล้วส่งเมนูงบประมาณแผ่นดินให้ผู้รับเหมาดูเพื่อแบ่งเงินแบ่งทองกัน เรื่องเกิดขี้นไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เมื่อเกิดปัญหาแล้ว กระบวนการตรวจสอบภายในกระทรวงมหาดไทยเป็นการตรวจสอบกันเอง มีการระบุในหนังสือชี้แจงผลการตรวจสอบบอกว่า น.ส. พ. ผิดวินัยร้ายแรง แต่ “อสถ.” กลับไม่ผิด นี่คือเรื่องที่ไม่ชอบมาพากล จึงต้องมาซักถามการบริหารราชการแผ่นดินของรมว.มหาดไทย ว่าบทลงโทษของกระทรวงมหาดไทยคืออะไร ขณะที่ ช.เป็นเอกชนไม่สามารถดำเนินการใดๆ ได้
“สุดท้ายบทลงโทษของกระทรวงมหาดไทยทุกคนได้ดีกันหมด นางสาว พ. จากเป็นรองปลัดเทศบาล ปัจจุบันถูกลงโทษหนักสุดๆ ได้เป็นปลัดเทศบาลเมืองบางแก้ว อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ซึ่งล่าสุดได้ย้ายไปช่วยราชการที่อำนาจเจริญอีกครั้ง และหนังสือล่าสุดจะกลับมารับตำแหน่งเดิมในวันที่ 17 ก.พ.นี้ ส่วนรองอธิบดีที่ลงนามในวันนั้น ถูกลงโทษให้เป็นอธิบดีในปัจจุบัน ส่วนอธิบดีที่แชทไลน์คุยกับมือทำงานที่ส่งข้อความ และเอกสารภายในคุยกันว่าจะได้เท่าไหร่ อนุมัติได้หรือไม่ ปัจจุบันได้รับการลงโทษให้เป็นปลัดกระทวงมหาดไทย”
“นี่คือการบริหารราชการแผ่นดินยุค 3 ป. ท่านจะบอกว่าท่านปราบโกงก็แล้วแต่ท่าน แต่ท่านลงโทษกันแบบนี้ ผมเลยต้องมาอภิปรายซักถามว่า รมว.มหาดไทย รู้เห็นเป็นใจกับโครงการทุจริตครั้งนี้หรือไม่ ทราบข้อมูลพยานหลักฐานที่กล่าวมาแล้วใช่หรือไม่ กระบวนการลงโทษทางวินัยของกระทรวงมหาดไทย มีแต่เลื่อนตำแหน่งขึ้นใช่หรือไม่ คนที่ประวัติด่างพร้อยมีมลทินมัวหมองสมควรเป็นปลัดกระทรวงต่อในยุค 3 ป. หรือไม่”
ในช่วงสุดท้ายของการอภิปราย นายณัฐชา กล่าวด้วยว่า ถ้าเกิดเหตุการณ์ทั้งหมด รมว.มหาดไทย ไม่ได้รู้เห็นเป็นใจ ฉะนั้น จากพยานหลักฐานทั้งหมดที่ตนมี ถ้าท่านจะเอาสลิป แชตไลน์ไปตรวจสอบเส้นทางการเงินตนก็มี ถ้าท่านบอกว่ารัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลปราบโกงแบบที่ท่านพูดไว้ ต้องมีกระบวนการเอาคนผิดมาลงโทษ หรือแม้แต่ต้องปลดผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อนำไปสู่การคลายความสงสัยของประชาชน
ต่อมา พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ได้ชี้แจงสันๆ ยืนยันการแต่งตังบุคคลใดในกระทรวงมหาดไทย ผู้แต่งตั้งต้องรับผิดชอบ ไม่ต้องกังวล ถ้าใครทำพิเรนท์ ประชาชน ประเทศชาติ ต้องได้เห็นคนรับผิดชอบ ส่วนกรณีของ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ยืนยันว่า ตนทำไปตามระเบียบ อีกทั้งผลสอบสมัยที่ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ยังไม่ปรากฏพยานหลักฐานเชื่อมโยง แต่ถ้าในปัจจุบันมีข้อมูล ก็พร้อมจะตรวจสอบและดำเนินการทางวินัย