Advertisement

SHARE

คัดลอกแล้ว

‘ปกรณ์วุฒิ’ สส.ก้าวไกล เปิดหลักฐานใหม่คดีซุกหุ้น ‘ศักดิ์สยาม ชิดชอบ’ พร้อมยื่น ป.ป.ช. ตรวจสอบมีหนี้สินคงค้างใน ‘หจก.บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น’ วันเข้ารับตำแหน่ง ‘รัฐมนตรี’ ไม่เปิดเผยในบัญชีทรัพย์สินหรือไม่

นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เปิดแถลงข่าวในวันนี้ (25 ก.ค. 66) ถึงความคืบหน้ากรณีคดีความที่พรรคร่วมฝ่ายค้านเดิม เคยยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อปี 2565 ขอให้ตรวจสอบว่า นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย อาจยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จต่อ ป.ป.ช. หรือไม่ ซึ่งในครั้งนั้นร่างคำร้องได้พุ่งเป้าไปที่การคงอยู่ ซึ่งความเป็นเจ้าของของนายศักดิ์สยามในห้างหุ้นส่วนจำกัดบุรีเจริญคอนสตรัคชั่น

นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องและมีคำสั่งให้นายศักดิ์สยาม หยุดปฎิบัติหน้าที่ชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 3 มี.ค. 66 ผู้ถูกร้องก็ได้ส่งเอกสารชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อหักล้างข้อกล่าวหา ซึ่งตนและ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ในฐานะตัวแทนผู้ร้อง ได้รับเอกสารทั้งหมดนี้เช่นกัน เมื่อประมาณ 3 สัปดาห์ที่แล้ว

หลังจากตรวจสอบเอกสารทั้งหมด ทำให้พบว่า มีจุดพิรุธอยู่หลายแห่ง เนื่องจาก พบหลักฐานใหม่ว่า นายศักดิ์สยาม ยังมีหนี้สินคงค้างกับห้างหุ้นส่วนแห่งนี้ในวันที่เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรี และไม่ได้เปิดเผยในบัญชีทรัพย์สินที่ยื่นต่อ ป.ป.ช.

ตามเอกสารที่ หจก.บุรีเจริญฯ ชี้แจงและยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญถึงกรณีหนี้สินที่นายศักดิ์สยามคงค้างกับ หจก. นั้น ในรายละเอียดระบุว่า นายศักดิ์สยามเคยกู้ยืมเงินจาก หจก. ตั้งแต่ปี 2558-2559 จำนวน 4 ครั้ง เป็นยอดรวมทั้งสิ้น 108,499,000 บาท โดยมีสัญญากู้ยืมเงิน ต่อมา นายศักดิ์สยามได้ชำระหนี้เงินกู้คืนทั้งก้อน ในวันที่ 22 เม.ย. 62 ก่อนเข้ารับตำแหน่ง สส. 33 วัน

ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจของตนเมื่อปี 2565 หลังจากนายศักดิ์สยามชี้แจงในสภาฯ ตนถามต่อว่า หนี้สินที่มีกับ หจก. แห่งนี้ได้โอนออกไปพร้อมกับการโอนหุ้นหรือไม่ ทว่าไม่เคยได้รับคำตอบ แต่ข้อมูลจากเอกสารของ หจก.บุรีเจริญฯ ได้ชี้ให้เห็นว่า หลังจากการโอนหุ้น หจก. แห่งนี้ออกไป ไม่ได้มีการโอนหนี้สินก้อนนี้ออกไปด้วย เอกสารฉบับนี้ จึงเป็นการมัดตัวว่าหนี้สินก้อนนี้ยังเป็นของศักดิ์สยามอยู่ หลังจากการโอนหุ้นเมื่อปี 2561 อย่างแน่นอน

คำถามต่อไปคือ มีการชำระหนี้เงินกู้คืนเมื่อวันที่ 22 เม.ย. 62 ก่อนที่จะต้องยื่นบัญชีทรัพย์สิน อย่างที่กล่าวอ้างจริงหรือไม่ เพราะในเมื่องบการเงินของ หจก. สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค. 62 ระบุชัดว่า ยังมีเงินให้หุ้นส่วนผู้จัดการกู้ยืมคงค้างอยู่ 38 ล้านบาท หลังจากนั้นยอดหนี้สินนี้จึงถูกปิดลงเหลือ 0 บาทในงบการเงินสิ้นปี 2563

นายปกรณ์วุฒิ กล่าวอีกว่า การตรวจสอบบัญชี การปิดงบการเงินนั้น จำเป็นต้องสอดคล้องกับเอกสาร ทางการเงินและยอดเงินในบัญชีทั้งหมดของ หจก. เพราะเป็นเอกสารที่จำเป็นต้องยื่นต่อหน่วยงานราชการตามกฎหมาย จึงมีความน่าเชื่อถือมากกว่า ดังนั้น เป็นไปได้อย่างมากว่า นายศักดิ์สยามยังคงเป็นหนี้ห้างหุ้นส่วนแห่งนี้อยู่ 38 ล้านบาทในสิ้นปี 2562 และไม่ได้ยื่นในบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช.

แต่สมมุติมองในแง่ดีว่า วันที่ 22 เม.ย. 62 มีการโอนเงิน 108,499,000 บาทให้ หจก. ตามในเอกสารจริงๆ พิรุธประการต่อไป หากไปดูในเอกสารชี้แจงจะพบว่าทาง หจก. ได้ยอมรับเองว่า นายศักดิ์สยาม มีการกู้ยืมเงินจากห้างทั้งสิ้น 4 ครั้ง ประเด็นก็คือตัวเลขเงินให้หุ้นส่วนผู้จัดการกู้ยืมตั้งแต่ปี 2559 2560 และ 2561 นั้นระบุตรงกันว่า เป็นยอด 69 ล้านบาท ซึ่งตรงกับการกู้ยืมครั้งที่ 3 และครั้งที่ 4 รวมกัน คำถามคือ การกู้เงินครั้งที่ 1 และ 2 ที่รวมเป็นยอดเงิน 39,499,000 บาท นั้น เหตุใดจึงไม่เคยปรากฏอยู่ในงบการเงินแม้แต่ครั้งเดียว ยอดเงินจำนวนนี้มาจากไหน

ข้อสันนิษฐานของตนคือ มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่าอาจไม่ได้มีการชำระหนี้ก้อนนี้ทั้งหมด และยังมียอดหนี้คงค้างตามในงบการเงิน จึงใช้วิธีหายอดเงินที่มีการโอนเข้า หจก. จริงๆ ซึ่งอาจเป็นธุรกรรมเพื่อการอื่น มากล่าวอ้างว่าเป็นการใช้หนี้ แต่เผอิญยอดเงินไม่ตรงกับ 69 ล้านบาทที่ปรากฏในงบการเงิน จึงต้องสร้างยอดหนี้ใหม่ที่ไม่เคยปรากฏในงบการเงินมาก่อน ทำสัญญาเงินกู้ขึ้นมา ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าสัญญาเงินกู้ที่ยอดเงินสูงขนาดนี้ มีการติดอากรแสตมป์ที่จะมีวันที่ประทับเพื่อให้มีผลทางกฎหมายอย่างเป็นทางการหรือไม่

“ผมขอเน้นย้ำว่านี่เป็นการสันนิษฐานถึงความเป็นไปได้จากข้อพิรุธที่พบตามเอกสาร ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช. ที่จะสืบสวนติดตามเอกสารต่างๆ และตรวจสอบเรื่องนี้ตามคำร้องต่อไป” นายปกรณ์วุฒิกล่าว

ประการต่อไปที่คิดว่าเป็นข้อสงสัยมากที่สุด เมื่อตนอ่านเอกสารชี้แจงของ หจก. ดังกล่าว ก็ลองนึกย้อนไปถึงเนื้อหาที่เคยอภิปรายไม่ไว้วางใจเรื่องนี้ และตอนที่ นายศักดิ์สยามลุกขึ้นมาชี้แจงในสภาฯ เนื้อหาส่วนหนึ่งของการอภิปรายของตนคือการตั้งข้อสงสัยว่า ตัวเลขในการยื่นบัญชีทรัพย์สินนั้น ไม่สอดคล้องกับการขายหุ้นของ หจก.บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น เพราะหากมีการขายหุ้น และศักดิ์สยามได้เงิน 120 ล้านบาทจริง เมื่อเดือนมกราคมปี 2561 เหตุใดในการยื่นทรัพย์สินใน 16 เดือนให้หลังกลับมีเงินสดเงินฝากเพียงแค่ 76 ล้านบาท หากเป็นตัวเลขจริงแปลว่าศักดิ์สยามใช้เงินที่ไม่ใช่การซื้อทรัพย์สินอย่างน้อย 40 ล้านบาทภายใน 16 เดือน และถ้าใช้แค่ 40 ล้านก็ตั้งอยู่บนข้อสมมติที่ว่า ก่อนเดือนมกราคมปี 2561 ศักดิ์สยามไม่มีเงินแม้แต่บาทเดียว

ในวันรุ่งขึ้น นายศักดิ์สยามก็ชี้แจงในสภาฯ ในข้อมูลนำเสนอเขียนว่า “ได้นำไปชำระหนี้สินส่วนตัวและหนี้สินทางธุรกิจ” แต่ศักดิ์สยามอภิปรายเพียงแค่ว่า “ส่วนเงินที่ได้รับจากการขายหุ้นนั้น ก็เป็นเรื่องส่วนตัวของผมที่จะนำไปใช้อะไร ซึ่งก็คิดว่าคงไม่ต้องมารายงานต่อท่านสมาชิก”

สิ่งที่ผมสงสัย คือหากการจ่ายคืนหนี้สินเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2562 เกิดขึ้นจริง เหตุใดศักดิ์สยามจึงไม่นำข้อมูลหลักฐานนี้มาชี้แจงในสภาฯ ในวันนั้น หากลองคิดแบบวิญญูชนทั่วไป วันนั้นตนอภิปรายถึงสายสัมพันธ์ของศักดิ์สยามที่มีกับ หจก.บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น หลังการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี และศักดิ์สยามได้นำหลักฐานว่ามีการโอนหุ้นไปแล้วมาชี้แจงในสภาฯ หนี้สินก้อนนี้คือเชือกเส้นสุดท้ายที่ยึดโยงศักดิ์สยามเข้ากับห้างหุ้นส่วนแห่งนี้

หากมีการชำระหนี้ไปแล้วจริง จะเป็นหลักฐานสำคัญว่าได้ตัดขาดจากห้างหุ้นส่วนแห่งนี้โดยเด็ดขาดแล้ว รวมถึงยังทำให้จำนวนทรัพย์สินที่ยื่นต่อ ป.ป.ช. ที่ตนตั้งข้อสงสัยไว้ว่ามีพิรุธ จะถูกหักล้างทันที จะเป็นหมัดเด็ดที่ทำให้ตนถูกน็อกกลางสภาฯ ในวันนั้น แต่นายศักดิ์สยามกลับพูดเพียงว่า ‘เป็นเรื่องส่วนตัวที่จะนำไปใช้อะไร คิดว่าคงไม่ต้องมารายงานต่อท่านสมาชิก’

“ขอยกให้เป็นวิจารณญาณของทุกท่านในการตัดสินว่าความเป็นไปได้ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคืออะไรกันแน่ ทั้งหมดที่ศักดิ์สยามชี้แจงทั้งในสภาฯ และต่อศาลรัฐธรรมนูญ จะเป็นเรื่องจริงหรือเป็นการทำธุรกรรมที่พิสดารใน หจก. ดังกล่าวมากเกินไป จนยิ่งพยายามแก้ปมเท่าไรก็ยิ่งมัดตัวเองให้ดิ้นไม่หลุดไปเรื่อยๆ” นายปกรณ์วุฒิกล่าว

นายปกรณ์วุฒิ ยังระบุเพิ่มเติมถึงข้อพิรุธที่พบในเอกสารชี้แจงที่ศักดิ์สยามส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญ เช่น ประเด็นการคงอยู่ซึ่งความเป็นเจ้าของ หจก. บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น นายศักดิ์สยามได้ขอเอกสารจาก หจก. เป็นเอกสารใบรับวางบิล ซึ่งมีเอกสารตั้งแต่ปี 2561-2564 เป็นความพยายามที่จะบอกว่า นี่เป็นหลักฐานว่าหุ้นส่วนผู้จัดการคนใหม่ เข้ามาควบคุมกิจการเซ็นเอกสารตั้งแต่ต้นปี 2561 ตามที่ได้มีการโอนหุ้นออกไปแล้วจริงๆ

ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจของตนได้ให้ข้อมูลว่า เอกสารการขายหุ้นเปลี่ยนเจ้าของตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2561 แต่ยังคงใช้ที่ตั้งเดิม คือ 30/2 หมู่ 15 และแจ้งเปลี่ยนที่ตั้งกับทางการเป็น 30/17 หมู่ 15 เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 62 แต่เอกสารใบรับวางบิลที่ออกเมื่อวันที่ 12 ก.พ. 61 ซึ่งเป็นเวลา 1 ปี 4 เดือนก่อนที่ หจก. จดย้ายที่ตั้งต่อทางราชการ ที่อยู่ของ หจก. ในเอกสารกลับระบุเป็น 30/17 หมู่ 15 ไปแล้ว นอกจากนั้น เอกสารใบรับวางบิลเป็นเอกสารภายในของธุรกิจ ไม่ได้ยื่นต่อหน่วยงานราชการ จึงสามารถทำขึ้นย้อนหลังจะพิมพ์ขึ้นมากี่ใบเมื่อไรก็ได้

ทั้งนี้ ในกระบวนการของศาลรัฐธรรมนูญ ตัวแทนผู้ร้องคือตนและ พ.ต.อ. ทวี ได้ยื่นรายชื่อพยานบุคคลทั้งหมด 22 คนและรายชื่อพยานเอกสาร 19 รายการ ที่จะขอให้ศาลฯ เรียกเพื่อชี้ข้อพิรุธและหักล้างคำชี้แจงดังกล่าวของนายศักดิ์สยามผู้ถูกร้อง

นอกจากนี้ ทีมงานของ พ.ต.อ.ทวี ซึ่งเป็นหนึ่งในรายชื่อบัญชีพยานบุคคล ได้พบรายการเดินบัญชีของศักดิ์สยามรวมถึงบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมด 27 บัญชีที่มีความผิดปกติ โดยทีมงานคนนี้ได้ยื่นเอกสารในการชี้เบาะแสของผู้ที่น่าจะเชื่อว่าร่วมกันกระทำผิดฐานฟอกเงินที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ในเวลา 10.00 น. วันนี้ (25 ก.ค. 66)

นายปกรณ์วุฒิ ทิ้งท้ายว่า ขอเรียกร้องไปยังองค์กรอิสระอย่าง ป.ป.ช. และศาลรัฐธรรมนูญ ที่กำลังพิจารณาเรื่องนี้ ทั้งในแง่กระบวนการที่จำเป็นต้องดำเนินการให้เป็นไปตาม พ.ร.บ.กำหนดระยะเวลาดำเนินงานในกระบวนการยุติธรรม พ.ศ. 2565 รวมถึงมาตรฐานในการทำงานที่กำลังถูกสังคมจับจ้องและตั้งคำถามว่า จะถูกหรือผิด เร็วหรือช้า ขึ้นอยู่กับผู้ถูกร้องอยู่ฝ่ายไหนหรือไม่ ถึงเวลาแล้วที่องค์กรอิสระต้องเรียกศรัทธาจากสังคมคืนมาให้ได้ ด้วยการปฏิบัติกับทุกคำร้องอย่างเท่าเทียมเที่ยงธรรม ก่อนที่ประชาชนจะหมดศรัทธากับกลไกเหล่านี้อย่างที่ไม่สามารถเรียกกลับคืนได้อีกเลย

จากนั้น ผู้สื่อข่าวสอบถามว่า กังวลหรือไม่ว่า การแถลงข่าวเปิดหลักฐานใหม่ในวันนี้ จะกระทบต่อการเจรจาจัดตั้งรัฐบาลที่กำลังดำเนินอยู่ นายปกรณ์วุฒิ ตอบว่า ตนมองว่าเรื่องนี้เป็นการทำหน้าที่ตามปกติ เพราะเป็นคนดำเนินการเรื่องนี้ตั้งแต่แรก จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ทำ เรื่องการร่วมหรือไม่ร่วมรัฐบาลนั้น ตนไม่ได้อยู่ในคณะเจรจา และไม่ทราบว่า กระบวนการจะเสร็จสิ้นเมื่อไร แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เราเคยประกาศชัดเจนอยู่แล้วว่าต่อให้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกลก็จะทำงานตรวจสอบรัฐมนตรีทุกคน ไม่เว้นแม้แต่รัฐมนตรีของพรรคก้าวไกลเอง และเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตก็เป็นเรื่องที่ระบุใน MOU ของ 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลแล้ว

“เป็นปกติ แล้วทุกท่านคงทราบว่า DNA ของพรรคก้าวไกลเป็นแบบนี้ ผมคิดว่าถ้าเราได้เป็นรัฐบาล ถ้าคุณพิธาได้เป็นนายกฯ ผมคิดว่าภาพที่พรรคก้าวไกลตรวจสอบพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเอง คงไม่ใช่ภาพที่ทุกคนแปลกใจเท่าไหร่ ดังนั้น เราเคยทำแบบไหน เราเคยพูดแบบไหน เราก็ทำแบบนั้น ดีกว่าวันนี้เราแกล้งทำเป็นหลบตาแล้วกลับมาตรวจสอบเขาอย่างเข้มข้น ผมคิดว่าจะเป็นภาพที่ดูไม่งามเท่าไหร่ และผมคิดว่าการตรวจสอบการทุจริตนั้นไม่มีเวลาที่ไม่เหมาะสมสำหรับการยืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้อง” นายปกรณ์วุฒิ กล่าว

ภาพจากพรรคก้าวไกล : นายปกรณ์วุฒิ ยื่นหลักฐานหลังการแถลงข่าว ต่อ ป.ป.ช.

podcast

LATEST
OUR PICKS
HOT
กำลังโหลดบทความถัดไป...

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า