พล.อ.ประยุทธ์ สั่งทุกหน่วยทำงานเชิงรุกเร่งปูพรมฉีดวัคซีนเข็มแรกให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ ตั้งเป้าสั่งซื้อวัคซีนป้องกันโควิด-19 จำนวน 150-200 ล้านโดส
วันที่ 7 พ.ค. 2564 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กล่าวผ่านรายการ PM Podcast เรื่อง“การเดินหน้าแก้ปัญหาโควิด-19” ว่า ช่วงเวลาที่เรากำลังต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกที่ 3 ที่ถือว่าเป็นสถานการณ์ที่มีความเลวร้ายที่สุดนั้น จึงได้สั่งการให้มีการดำเนินการและออกมาตรการต่างๆทันทีในหลายเรื่องทั้งที่เกี่ยวกับสาธารณสุขและเศรษฐกิจปากท้องของประชาชน ทั้งนี้การจัดการสถานการณ์ โควิดในประเทศไทย ตนคิดว่าการตัดสินใจที่เร็วและการทำงานอย่างรวดเร็วด้วยการบูรณาการคืออาวุธที่สำคัญที่สุดของเราในการต่อสู้กับโควิด
พล.อ.ประยุทธ์ ย้ำว่าเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติอย่างรวดเร็ว สัปดาห์ที่ผ่านมาในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบในการโอนอำนาจตามกฎหมาย 31 ฉบับมาที่นายกฯ เพื่อให้สามารถออกคำสั่ง อนุญาต หรือสั่งการแก้ไขสถานการณ์โควิดได้โดยตรงและให้การแก้ไขสถานการณ์เป็นไปด้วยความรวดเร็ว โดยขอขอบคุณทุกกระทรวงและหน่วยงานต่างๆที่ทำงานร่วมกันเป็นอย่างดีมาโดยตลอดและขอขอบคุณที่เห็นพ้องต้องกันว่าแนวทางนี้จะช่วยให้เราสามารถรับมือและผ่านพ้นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนไปได้ ซึ่งสถานการณ์ทั่วโลกขณะนี้มีตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นสูงมากที่สุด นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดมาเหมือนกับที่ประเทศไทยกำลังประสบอยู่
สำหรับกรณีคัตเตอร์คลองเตย พล.อ.ประยุทธ์ติดตามอย่างใกล้ชิดเป็นพิเศษและได้สั่งการทุกหน่วยงานระดมสรรพกำลังในการควบคุมการแพร่ระบาดให้ได้โดยเร็วที่สุด โดยเน้นไปที่การตรวจเชิงรุกกลุ่มเสี่ยงในชุมชน เพื่อจำกัดวงการแพร่ระบาดให้ได้โดยเร็วที่สุดและระดมการฉีดวัคซีนโควิด รวมทั้งอีกประเด็นที่สั่งการให้แก้ปัญหาคือการสำรองเตียงให้กับผู้ป่วยอาการหนักโดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ซึ่งในขณะนี้ยังมีเพียงพอแต่ก็ไม่อาจนิ่งนอนใจได้ต้องมีการขยายเพิ่มเพื่อรองรับผู้ป่วยอาการหนักในกรณีฉุกเฉินเพิ่มเติม เพราะคิดว่ายังไม่พอ
นายกฯ กล่าวว่า ทุกวันนี้หากฟังจากสถานการณ์ทั่วโลกก็ยังไม่มีความชัดเจนว่าการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่จากไวรัสตัวนี้ขึ้นได้จริงหรือไม่และจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ยังมีความกังวลในเรื่องนี้ จึงต้องมีการเตรียมแผนสำรองไว้ตลอดเวลา แต่วันนี้เราได้รับคำยืนยันแล้วจากทั่วโลกว่าฉีดดีกว่าไม่ฉีด ฉีดเข็มเดียวก็ยังดีกว่าไม่ฉีด ดังนั้นเราต้องมีวัคซีนให้เพียงพอสำหรับคนไทยทุกคน ซึ่งประเทศเรามีทรัพยากรผู้ใหญ่อยู่ประมาณ 60 ล้านคน เท่ากับเราต้องมีวัคซีนอย่างน้อย 120 ล้านโดส และต้องคำนึงถึงแรงงานอื่นๆอีกด้วยที่อยู่ในภาคธุรกิจของเรา ต้องมีวัคซีนเผื่อไว้เพียงพอสำหรับความเสี่ยงและความไม่แน่นอนอื่นๆ ด้วยอาจถึง 150 หรือ 200 ล้านโดสในระยะต่อไป ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงอายุการใช้งานของวัคซีนและคำนึงถึงสถานการณ์ในปีหน้าด้วย นอกจากนี้ยังมีคำถามอื่นๆ เช่นหลังจากฉีดวัคซีนครบโดสแล้วประสิทธิภาพของวัคซีนจะคงอยู่ได้นานเท่าไหร่ และมีความจำเป็นต้องฉีดเข็มที่ 3 อีกหรือไม่นั้น เรื่องนี้เตรียมการและติดตามจากข้อมูลหลายประเทศ ที่กำลังพิจารณาอยู่ในขณะนี้ รวมถึงในเรื่องการกลายพันธุ์ของไวรัสที่สร้างความวิตกกังวลใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา ซึ่งเราต้องพยายามทำให้ดีที่สุด
ขณะเดียวกันต้องเตรียมความพร้อมสำหรับความเสี่ยงอื่นๆ อีกด้วย เช่น การส่งมอบวัคซีนที่อาจมีความไม่แน่นอนอยู่บ้าง ทั้งเรื่องส่งมอบไม่ครบจำนวน และการส่งมอบล่าช้ากว่าที่ตกลงไว้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เคยเกิดขึ้นแล้วกับหลายประเทศทั่วโลก ล่าสุดหลายประเทศชั้นนำทั่วโลกมีการคาดการณ์ว่าในช่วงเวลานี้อาจได้รับการส่งมอบวัคซีนในจำนวนที่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนที่ตั้งไว้ ซึ่งข้อมูลดังกล่าวเป็นของต่างประเทศ แต่เรายังโชคดีที่จะมีการผลิตวัคซีนแอสตราเซเนกาในประเทศไทย แต่ก็ต้องเตรียมการเผื่อไว้สำหรับความเสี่ยงและความไม่แน่นอนต่างๆ เหล่านี้ จึงคิดว่ามีให้เกินไว้ดีกว่าขาด
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า นอกจากนี้ได้สั่งการทุกหน่วยงานทำงานเชิงรุกมากยิ่งขึ้น เพื่อให้การเจรจาสั่งซื้อวัคซีนของเรามีความคืบหน้าที่รวดเร็วกว่านี้ โดยได้มีการเจรจากับผู้ผลิตหลายรายเพิ่มขึ้นอีกเพื่อเพิ่มโอกาสในการได้วัคซีนเพิ่มขึ้น ซึ่งเราได้เจรจากับผู้ผลิตถึง 7 รายและกำลังเจรจาเพิ่มเติมอีกรวมถึงวัคซีนใหม่ๆ จากผู้ผลิตรายใหม่ด้วยโดยต้องเป็นไปตามขั้นตอนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในขณะที่ทั้งโลกยังคงแย่งกัน สั่งซื้อวัคซีนให้กับประเทศของตัวเอง จึงไม่ง่ายนักและขึ้นอยู่กับสิทธิบัตรของบริษัทผู้ผลิต ขีดความสามารถของเขาและรัฐบาลของเขาด้วยที่จะอนุมัติให้ดำเนินการส่งออก ก็จะทำให้การจัดหาและการสั่งซื้อวัคซีนเป็นเรื่องที่ยากลำบากอยู่พอสมควร แต่เราควรต้องหาทางทำให้ได้ดีขึ้นกว่าเดิม ซึ่งล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ได้รับการยืนยันมาแล้วว่าเราจะได้รับวัคซีนเพิ่มมาอีก 3.5 ล้านโดส ที่จะส่งมอบให้ประเทศไทยในเดือนนี้เป็นจำนวนที่เพิ่มขึ้นจากยอดเดิมที่เราได้ดำเนินการไว้
อย่างไรก็ตามการตัดสินใจในภาพใหญ่อีกเรื่องของตนคือการปรับแนวทางการฉีด โดยเร่งเครื่องการฉีดวัคซีนเข็มแรกให้ประชาชนจำนวนมากที่สุด เท่าที่จะทำได้ เนื่องจากทางการแพทย์มีความเห็นในทางเดียวกันว่า หลังจากได้รับการฉีดวัคซีนแม้เพียงเข็มแรกก็จะสามารถช่วยลดโอกาสในการรับเชื้อ ลดความรุนแรงของอาการและลดโอกาสในการเสียชีวิตได้อย่างมาก ดังนั้นขอให้ทุกคนร่วมมือกันเร่งเครื่องเดินหน้าให้เร็ว ปูพรมฉีดวัคซีนเข็มแรกให้ได้จำนวนมากที่สุดให้กับประชาชน โดยคาดการณ์ว่าภายในเดือนก.ค. จะมีประชากรผู้ใหญ่จำนวนครึ่งหนึ่งของทั้งประเทศที่จะได้รับวัคซีนเข็มแรกแล้ว และได้รับการปกป้องจากอันตรายจากโควิด-19 ในระดับที่มากพอสมควร ดังนั้นจากที่ผ่านมาจนถึงวันนี้และวันต่อๆไป จะเร่งรัดในเรื่องวัคซีนที่จัดหามาทั้งพิเศษและของเดิมให้เพิ่มมากขึ้นในทุกพื้นที่และทุกกิจกรรมตามลำดับ
“เมื่อเริ่มเกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 ครั้งแรก ด้วยการร่วมแรงร่วมใจของคนไทยทุกคนและความร่วมมือกันทั้งประเทศช่วยให้เราสามารถหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดสถานการณ์ที่พี่น้องคนไทยต้องเสียชีวิตเป็นหมื่นเป็นแสน เหมือนกับที่ประเทศชั้นนำของโลกหลายประเทศต้องเจอ ดังนั้นในวันนี้สถานการณ์ในปัจจุบันรัฐบาลจำเป็นจะต้องดำเนินการต่างๆ อย่างรวดเร็วเด็ดขาด” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว