‘อรรถวิชช์’ ยื่น สตง.สอบแปรญัตติในสภา กทม.โยกงบเพิ่มโครงการสัมมนากว่า 111 ล้าน ยัน ต้องการช่วย ผู้ว่าฯ กทม. ให้มีงบกลางดูแลวิกฤติน้ำท่วมมากขึ้น
นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรคกล้า ยื่นหลักฐานต่อนายประจักษ์ บุญยัง ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ขอให้ตรวจสอบการแปรญัตติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ของกรุงเทพมหานคร พร้อมหลักฐานเอกสารคำแปรญัตติ เปลี่ยนแปลงงบประมาณ 4,803,793,728 ล้านบาท โดยสภากรุงเทพมหานคร ได้เห็นชอบงบประมาณรายจ่ายที่ผู้บริหารเสนอแปรญัตติเพิ่มเท่ากับจำนวนที่ปรับลด โดยพบว่ามีการเพิ่มงบโครงการสัมมนาพาคนไปเที่ยวในหลายสำนักงานเขตของกรุงเทพมหานคร ซึ่งการตรวจสอบเบื้องต้นมีจำนวนถึง 72 โครงการ ใน 26 เขต รวมวงเงินสูงถึง 111,064,450 บาท ซึ่งเป็นรายการที่เพิ่มขึ้นมาใหม่ ทั้งนี้ งบในลักษณะที่กระจายตามเขตต่างๆ เพื่อพาประชาชนไปเที่ยวนั้น หลังจากปี 2557 ไม่ปรากฏว่ามีการกระทำดังกล่าว
นายอรรถวิชช์ กล่าวว่า กรณีเทียบเคียงกับ ส.ส.หลังการประกาศใช้ของรัฐธรรมนูญปี 2560 เราจะพบว่าสภาผู้แทนราษฎรเอง เมื่อได้มีการตัดงบประมาณในรายการใด และต้องมีการแปรญัตติเพิ่มกลับเข้าไป โดยงบถูกจะเพิ่มกลับไปใส่ในงบกลางเพื่อให้นายกรัฐมนตรีได้ใช้ในกรณีวิกฤติ เช่น โรคระบาดหรือน้ำท่วม ไม่เอามาหาร แล้วลงกระจายพาไปเที่ยวสัมมนาแบบงบประมาณ กทม.
“ในกรณี กทม.นั้น ถ้าไม่รีบแก้ไข วิธีการงบประมาณ จะเกิดอาการ เงินช็อต ไม่พอใช้กับการรับวิกฤติใหม่ๆ ทั้งโรคระบาด และน้ำท่วม การที่มายื่นเรื่องให้ สตง. เพื่อให้ตรวจสอบ และได้มีคำแนะนำการใช้เงินแผ่นดินที่ถูกต้องกับกรุงเทพมหานครต่อไป ทั้งนี้ ตนเองได้รับเรื่องมาจากข้าราชการใน กทม. ที่เขาไม่อยากเซ็นอนุมัติโครงการที่มีแปรญัตติโยกงบมาในลักษณะเหล่านี้” นายอรรถวิชช์ กล่าว
เลขาธิการพรรคกล้า ย้ำว่า เอกสารที่ออกมาเปิดเผยตอนแรก ประเด็นมันคือ งบท่อระบายน้ำเขตจตุจักรได้แปรญัตติเพิ่มแค่ 3 ล้านบาท ขณะที่โครงการสัมมนาได้เพิ่มเกือบ 10 ล้านบาท ไม่ได้บอกว่าเขตจตุจักรตัดงบท่อระบายน้ำเหลือ 3 ล้านบาท ตามที่มีคนเข้าใจผิดกัน และย้ำว่าการตรวจสอบครั้งนี้ ยึดหลักการช่วยผู้ว่าฯ กทม. ให้มีงบแก้วิกฤติได้ และให้ สตง.แนะนำทำความเห็นไป ตามเอกสารหลักฐานมีชัดรายละเอียดชัดเจน
“ผู้ว่าฯ กทม. มาจากการเลือกตั้ง คนของพรรคกล้าเลือกผู้ว่าฯ ชัชชาติ หลายคน อยากเห็นท่านทำงานได้อย่างเต็มที่ และอยากเห็นรูปแบบการบริหารงบประมาณ กทม.ที่เปลี่ยนไป ซึ่งจะเป็นต้นแบบให้การบริหารท้องถิ่นอื่นๆ ทุกที่ในประเทศไทย เมื่อใดที่ท้องถิ่นไหนเกิดวิกฤติ ก็จะมีงบกลางรอไว้ให้ ผู้ว่าฯ กทม.หรือผู้บริหารสูงสุดขององค์กรปกครองท้องถิ่นนั้นๆ ได้ใช้บรรเทาทุกข์ประชาชนได้ง่ายขึ้น” นายอรรถวิชช์ กล่าว