ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. ดีเบตข้อเสนอภาคประชาชนทำ 4 ปีข้างหน้าให้กรุงเทพฯ ไม่เหมือนเดิม

เวทีดีเบตผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. มองคนกรุงฯ หวัง 4 ปีข้างหน้าเห็นกรุงเทพฯ ไม่เหมือนเดิม ระบุต้องเชื่อมโยงคุณภาพชีวิต ทั้งสาธารณสุขและคนพิการ 

วันที่ 16 พ.ค. 2565 เวทีดีเบต “มหกรรมปลุกกรุงเทพฯ เปลี่ยนเมืองใหญ่ เลือกตั้งผู้ว่าฯ 65” จัดโดยไทยพีบีเอส โดยคำถามระบุว่า อีก 4 ปีข้างหน้า คิดว่ากรุงเทพฯ จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร

น.ส.รสนา โตสิตระกูล หมายเลข 7 (ผู้สมัครอิสระ) กล่าวว่า สโลแกนที่ใช้หาเสียงต้องหยุดโกง หากทำได้เชื่อว่ากทม. ดีขึ้นแน่ หวังว่า 4 ปีข้างหน้าจะหยุดโกงจริง เพื่อมีทรัพยากรมากพอจัดสวัสดิการเพื่อคุณภาพชีวิตทุกภาคก่อน สิ่งที่เรียกร้องจากหลายเวที หวังคนเล็กคนน้อยมีพื้นที่ทำกิน สามารถยืนได้มีศักดิ์ศรี ลดภาระหนี้ตัวเอง แก้ราคาโดยสารบีทีเอสให้ได้ 20 บาท ผู้ว่าฯ กทม.ที่จะเข้ามาในครั้งนี้ ต้องพิจารณาว่าต่อหรือไม่ต่อสัญญาสัมปทาน ซึ่งมีเงื่อนไขหลายอย่าง เพราะมีปมหลายอย่าง เราทำเรื่องนี้มุ่งทิศทางในอนาคตมีระบบรางขนส่งมวลชนที่ทุกคนสามารถขึ้นได้ มีเมืองหลวงสำหรับบ้านทุกคน เราได้ไปในพื้นที่ชุมชนแออัดหลายแห่ง คุยว่ากลุ่มคนในชุมชนแออัดเรียกร้องที่อยู่อาศัย พยายามให้นักเรียน กทม.เรียนฟรีให้ได้ร้อยเปอร์เซ็น นอกจากนี้ขอให้ประชาชนมีส่วนร่วมแก้ปัญหา กทม.มีปัญหาหลายอย่างซับซ้อนได้เข้ามาช่วยให้ กทม.เป็นอย่างที่ต้องการ ด้านสาธารณะสุข จัดให้มีเชื่อมต่อ เพิ่มศักยภาพศูนย์สาธารณสุขให้บริการ 24 ชั่วโมงและยกระดับให้เป็น รพ.ศูนย์

นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร หมายเลข 1 (สังกัด พรรคก้าวไกล)กล่าวว่า หลังจากสี่ปี คิดว่าเพื่อนร่วมงาน ส.ก.ก้าวไกล การแก้กติกาต่างๆ ที่ไม่เป็นธรรมภาษีที่ดิน รวมทั้งเรื่องค่าธรรมเนียมต่างๆ ภาษีป้าย ทุกวันนี้รีดจากธุรกิจตึกแถว หากจัดเก็บรายได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย สวัสดิการเกิดขึ้น ถ้าสิ่งนี้เกิดขึ้นผู้ว่าฯ กทม.คนต่อไป จะมาแบบไหนให้ประชาชนได้มากกว่า รวมถึงการแก้กติกาจะถูกแก้ใหม่ ปัญหาจะไม่วนมาแบบเดิม ถ้าหากมีความไม่ถูกต้องเกิดขึ้น เราพร้อมจะต่อสู้ไม่ยอมจำนน

ขณะที่การจัดการเรื่องเมืองน่าอยู่ที่แท้จริง นายวิโรจน์ กล่าวว่า ต้องจัดการคนตัวใหญ่ที่หลบเลี่ยงการจัดเก็บภาษี หากทำได้จะมีรายได้เพียงพอ จะสามารถ อุดหนุนปรับปรุงสวัสดิการได้

น.ต.ศิธา ทิวารี หมายเลข 11 (สังกัด ไทยสร้างไทย) กล่าวว่า อีก 4 ปีข้างหน้า จะเป็นอย่างไรเราต้องกลับไปดูย้อนหลัง การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. นโยบายยังเหมือนเดิม เพราะปัญหาต่างๆ ยังไม่ได้รับการแก้ไข ไม่ได้มีข้อแตกต่าง มันอยู่ที่ความคิด นิยามไม่ทิ้งคนเหล่านั้นไว้ข้างหลังอย่างไร เราจะดำเนินการคนที่ถูกทิ้งข้างหลัง ให้ทุกคนเข้าถึงบริการสาธารณะทุกรูปแบบต้องเปลี่ยนแปลง มีนโยบายใหม่ๆ ในอีก 4 ปี ข้างหน้า ส่วนการจัดการเรื่องความเท่าเทียม น.ต.ศิธา กล่าวว่า จะไม่ทิ้งคนพิการไว้ข้างหลัง การกำหนดนโยบายงบประมาณต่างๆ ให้กับคนกลุ่มนี้ ถ้าเสนอโครงการอะไรขึ้นมา จะต้องดูว่าเผื่อกลุ่มคนพิการหรือไม่ หากไม่ทำตัดโครงการดังกล่าวออก

นายสกลธี ภัททิยกุล หมายเลข 3 (ผู้สมัครอิสระ) กล่าวว่า จะแก้ให้งบประมาณ ดูแลทุกตารางนิ้วของกทม. หลายคน เจ็บปวดที่เอกชน กทม.ดูแลไม่ได้ หมดไป ให้เกิดการเท่าเทียมกัน สมัยเป็นรองผู้ว่าฯ กทม.ได้รับมอบหมายงานจากผู้ว่าฯ กทม. เป็นเฉพาะงานเท่านั้น หากได้รับเลือกจะทำเต็มที่ อย่างไรก็ตามนโบายส่วนใหญ่จะตอบโจทย์คนทุกวัย ให้เขัาถึงได้ เอาหัวใจมาใส่ในนโยบาย ขณะที่นโยบายด้านสาธารณสุข เป็นนโยบายสำคัญที่ต้องเห็นความสำคัญ ที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องเงิน เราต้องกระจายงบลงไป ศูนย์สาธารณสุขแต่ละแห่งต้องบริหารจัดการไม่ต้องไปโรงพยาบาล ยิ่งเข้าสู่สังคมสูงวัยต้องยิ่งเตรียมความพร้อม

นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หมายเลข 4 (สังกัด พรรคประชาธิปัตย์) กล่าวว่า งานผู้ว่าฯ กทม.หนักจริง ใช้พลังชีวิต และความรู้ทุกรูปแบบถึงจัดการปัญหา กทม. 4 ปี ข้างหน้าจะต้องไม่พูดแบบเดิม แต่อยากให้พูดถึงการแข่งขันกับประเทศอื่นๆ จะทำให้อยากแย่งเข้า รร.กทม. เรื่องฝนตก ต้องไม่มีท่วม จะไม่ทำแบบเดิมคิดแบบเดิม เป็นผู้ว่าฯ กทม. ต้องทำสิ่งใหม่ๆ ที่ต่างประเทศทำ เราทำได้เหมือนกัน จะทำให้ออกไปยืนหน้าศาลากลาง pm2.5 หายไปครึ่งหนึ่ง และการให้บริการประชาชนบางเรื่องประชาชนไม่ต้องเดินทางไปเขต เพื่อประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย ส่วนนโยบายดูแลผู้พิการวิธีการดูแลที่ดีที่สุดต้องเข้าใจเข้าถึง จะไม่ให้เสียชื่อวิศวกร จะทำทางเดินเท้าให้เรียบ