‘เรืองไกร’ ร้องศาล รธน. สอบ ‘มีชัย’ ปมความเห็นนายกฯ 8 ปี เบิกความเท็จหรือไม่
นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เปิดเผยว่า กรณีปรากฏข่าวความเห็นของประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (นายมีชัย ฤชุพันธุ์) ที่ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ จำนวน 3 แผ่น โดยมีความเห็นว่า โดยผลของมาตรา 264 ดังกล่าว คณะรัฐมนตรีรวมทั้งนายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งอยู่เฉพาะในวันก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 จึงเป็นคณะรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ตั้งแต่วันที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ใช้บังคับ คือ วันที่ 6เม.ย. 2560
นายเรืองไกร กล่าวว่า นายมีชัย ยังได้ระบุความเห็นไว้ด้วยว่า “อนึ่ง สำหรับรายงานการประชุมคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ครั้งที่ 500 วันศุกร์ที่ 7 กันยายน 2561 ในส่วนที่เกี่ยวกับคำกล่าวของข้าพเจ้านั้น ขอเรียนว่า เป็นการตรวจรายงานที่ไม่ครบถ้วน เป็นการสรุปตามความเข้าใจของผู้จด คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ยังมิได้ตรวจรับรองรายงานการประชุมนั้น เพราะเป็นการประชุมครั้งสุดท้าย และคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญได้ประกาศสิ้นสุดการปฏิบัติหน้าที่ในวันที่ 12ก.ย.2561 ความไม่ครบถ้วนดังกล่าวอาจทำให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนได้”
นายเรืองไกร กล่าวว่า เมื่อไปตรวจสอบบันทึกประชุมคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ครั้งที่ 500 วันศุกร์ที่ 7ก.ย.2561 พบว่า นายมีชัย เคยให้ความเห็นต่อกรณีดังกล่าวไว้ดังนี้ “ประธานกรรมการกล่าวว่า เมื่อพิจารณาบทเฉพาะกาลในมาตรา 264 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ให้คณะรัฐมนตรีที่บริหารราชการแผ่นดินอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้เป็นคณะรัฐมนตรีตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ จนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญนี้จะเข้ารับหน้าที่ และให้นำความในมาตรา 263 วรรคสาม มาใช้บังคับแก่การดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีด้วยโดยอนุโลม”
การบัญญัติในลักษณะดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า แม้จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ก่อนวันที่รัฐธรรมนูญนี้ใช้บังคับก็สามารถนับรวมระยะเวลาดังกล่าวรวมกับระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ 2560 ได้ ซึ่งเมื่อนับระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต้องมีระยะเวลาไม่เกินแปดปี” ดังนั้นเมื่อไปตรวจสอบบันทึกประชุมคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ครั้งที่ 501 วันศุกร์ที่ 11ก.ย. 2561 พบว่า ระเบียบวาระที่ 2 มีการรับรองบันทึกการประชุมครั้งที่ 500 โดยไม่มีการแก้ไข ไปแล้วด้วย
ส่วนความเห็นของนายมีชัย จำนวน 3 แผ่น นายเรืองไกร กล่าวว่า ในฐานะประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ จึงไม่สอดคล้องต้องกันบันทึกครั้งที่ 500 อย่างเห็นได้ชัด กล่าวคือ นายมีชัย เคยแสดงความเห็นในบันทึกการประชุมครั้งที่ 500 ว่า “…แม้จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ก่อนวันที่รัฐธรรมนูญนี้ใช้บังคับก็สามารถนับรวมระยะเวลาดังกล่าวรวมกับระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ 2560 ได้ ซึ่งเมื่อนับระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต้องมีระยะเวลาไม่เกินแปดปี” แต่นายมีชัย กลับมาแสดงความเห็นในภายหลังต่อศาลรัฐธรรมนูญว่า “โดยผลของมาตรา 264 ดังกล่าว คณะรัฐมนตรีรวมทั้งนายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งอยู่เฉพาะในวันก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 จึงเป็นคณะรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ตั้งแต่วันที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ใช้บังคับ คือ วันที่ 6เม.ย. 2560”
“ในฐานะประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ควรถือเป็นพยานบุคคลหรือพยานผู้เชี่ยวชาญตามมาตรา 64 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 และคำเบิกความดังกล่าวควรเป็นข้อสำคัญในคดี ดังนั้น แต่คำเบิกความของนายมีชัย กลับไม่สอดคล้องต้องกันกับบันทึกการประชุมของ กรธ. ครั้งที่ 500 และ 501 กรณีจึงมีเหตุอันควรขอให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบคำเบิกความดังกล่าว เข้าข่ายเป็นการเบิกความเท็จซึ่งเป็นข้อสำคัญในคดีตามความในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 หรือไม่ และคำเบิกความดังกล่าว ควรตกไป หรือไม่ โดยได้ส่งหนังสือไปถึงศาลรัฐธรรมนูญเพื่อตรวจสอบต่อไปแล้วทางไปรษณีย์ EMS” นายเรืองไกร กล่าว