SHARE

คัดลอกแล้ว

ศุภชัย  เล็งฟ้องทนายตั้มไฮโซสาวหลังพาดพิงปมลวง 25 ล้าน ปล่อยข่าวลทำเสื่อมเสียยกตระกูล ส่วนกรณีสิทธิ์ครอบครองที่ดินรกร้าง 200 ไร่ จ.นครพนม ยันได้มาตั้งแต่ปี 31-32 ไม่เกี่ยวตำแหน่งทางการเมือง พร้อมขอให้ กก.จริยธรรมเร่งตรวจสอบก่อนสิ้นสุดสภาฯ

     ที่ศูนย์ประสานงานพรรคภูมิใจไทย จ.นครพนม  นายศุภชัย โพธิ์สุ  ..นครพนม พรรคภูมิใจไทย และรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 ชี้แจงกรณีนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม กล่าวหาว่าอดีตผู้ช่วยเลขานุการรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายก อบจ.จังหวัดหนึ่ง และเป็นสามีไม่ได้จดทะเบียนสมรสของนายก อบจ.ดังกล่าว ได้ลวงเงินจำนวน 25 ล้านบาท จากนักธุรกิจสาวไฮโซ เพื่อหลอกช่วยเคลียร์คดี 

โดยยอมรับว่า เคยรู้จักกับผู้ช่วยฯ คนดังกล่าวจริง หลังจากได้เข้ามาขอช่วยงานในช่วงที่ได้รับตำแหน่งรองประธานสภาฯ ทั้งนี้ เนื่องจากเห็นว่ามีโปรไฟล์ดี จึงแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรองประธานสภาฯ และได้มอบหมายให้มาช่วยงานลูกสาว หลังจากได้รับการเลือกตั้งให้เป็นนายก อบจ.นครพนม  แต่หลังจากทำงานได้ 2 – 3 เดือน บุคคลดังกล่าวได้ลาออกไป โดยให้เหตุผลว่าไม่เหมาะสมกับงาน และไม่ได้ติดต่อหรือเกี่ยวข้องกันอีก  

ที่ผ่านมา ผมรู้สึกชื่นชมทนายตั้มมาโดยตลอด ที่ให้ความช่วยเหลือคน แต่พอมาเจอกับตัวเอง ทำให้รู้สึกว่า ทนายตั้มรับข้อมูลด้านเดียว และหากเรื่องใดที่เป็นการเมืองก็จะพยายามเข้ามายุ่ง และลากให้เป็นประเด็น ซึ่งส่วนตัวไม่เข้าใจว่า หากมีการต้มตุ๋นกันเกิดขึ้น เหตุใดจึงไม่ไปฟ้องร้องดำเนินคดี ซึ่งหากกระทำผิดก็ไปสู้กัน แต่สิ่งที่ผมรู้สึกไม่สบายใจ คือการเอาเรื่องลูกสาวมาประกาศต่อสาธารณะว่าเป็นภรรยาที่ไม่จดทะเบียน ทั้งที่ลูกผมเป็นโสด และแม้ว่ากินข้าวกับผู้ชายคนนี้ก็ไม่เคยกินตามลำพัง จึงถือว่าเป็นการทำให้ลูกสาวผม และตัวผม ตลอดจนครอบครัวได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียเกียรติยศ เพราะลูกสาวผมมีหน้ามีตาในสังคม ไม่มีพฤติกรรมเสื่อมเสีย และผมก็ยังหวังว่าจะได้ลูกเขย จึงจำเป็นที่จะฟ้องดำเนินคดีกับทนายตั้ม และผู้ให้ข้อมูลภายในสัปดาห์หน้า อย่างไรก็ตาม หากทนายตั้มแถลงขอโทษก็อาจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งผมเป็นลูกผู้ชายพอนายศุภชัย กล่าว

นายศุภชัย กล่าวด้วยว่า ในส่วนที่มีการพาดพิงนายเนวิน ชิดชอบ ครูใหญ่พรรคภูมิใจไทยนั้น ส่วนตัวยังไม่ได้ชี้แจงทำความเข้าใจ มีเพียงนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคฯ ท่ีได้โทรศัพท์สอบถาม และให้ตนชี้แจงไปตามความจริง

ส่วนกรณีคณะกรรมาธิการจริยธรรมสภาผู้แทนราษฎรเตรียมเสนอวาระเข้าสภาเพื่อพิจารณาเอาผิด หลังได้รับเรื่องร้องเรียนว่านายศุภชัย ครอบครองที่ดินป่าดงพะทาย ที่บริเวณ ต.พะทาย อ.ท่าอุเทน จังหวัดนครพนม โดยมิชอบด้วยกฎหมาย นายศุภชัย กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องเก่าที่มีการร้องไปที่กรรมาธิการจริยธรรม ของสภาผู้แทนราษฎร ได้เข้าชี้แจงต่อคณะอนุกรรมการจริยะธรรมฯไปแล้ว ว่าตนได้ครอบครองที่ดินดังกล่าวมาตั้งแต่ปี 2531 ถึง 2532 ทำการเกษตร จำนวนประมาณ 200ไร่

“ขณะนั้นยังเป็นครูสอนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนบ้านท่าหนามแก้ว ต.พะทาย อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม และมาเป็นส.. เมื่อ ปี 2544 นั่นย่อมแสดงว่าไม่ได้ใช้ตำแหน่งหน้าที่ ความเป็น ส.. เพื่อให้ได้มาซึ่งที่ดินเหล่านั้นแต่อย่างใด และ ขอร้องให้นายชวน หลีกภัยประธานสภาฯ เร่งให้กมธ.จริยธรรมเร่งให้ตรวจสอบ ให้สิ้นสุดกระแสความในสภาฯชุดนี้ แม้จะมีคนบอกว่าให้อยู่เฉยๆ เพราะอีกไม่กี่เดือนก็จะสิ้นสุดสภาและเรื่องที่กมธ.จริยธรรมจะสิ้นสุดไป ซึ่งสุดท้ายหากผลการตรวจสอบออกมาเป็นอย่างไร พร้อมน้อมรับ” นายศุภชัย กล่าว

นายศุภชัย กล่าวว่า ข้อเท็จจริง เมื่อปี 2518 ถึง 2519 รัฐบาลได้ทำการจัดสรรที่ดินป่าดงพะทายให้ชาวบ้านทำกินโดยแบ่งเป็นล็อค ๆ ละ 10 ไร่เพื่อทำการเกษตร และยังให้เป็นที่อยู่อาศัยอีกคนละ 1 ไร่ โดยมีคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติเป็นผู้ดำเนินการ หลังจากที่คณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติจัดเสร็จแล้ว ก็ปิดโครงการ และมอบที่ดินให้อยู่ในความรับผิดชอบของ ผู้ว่าราขการจังหวัดนครพนม โดยสำนักงานที่ดิน จ.นครพนมสาขาท่าอุเทน เป็นผู้รับผิดชอบ

ต่อมาชาวบ้านที่ได้รับจัดสรรได้รับใบจองที่ทางการออกให้แล้ว ไม่เข้าไปทำประโยชน์ เนื่องจากเป็นคนต่างถิ่นเห็นว่าเป็นที่ทุรกันดาร จึงมอบสิทธิ์ ด้วยวิธีต่างไป หลังจากจับฉลากได้ใบจองมาแล้ว ชาวบ้านในพื้นที่จึงเข้าครอบครองสิทธิ์ไว้ เป็นเหตุให้ต่อมาปรากฏชื่อ ผู้ครอบครองทำกินในที่ดินบริเวณนั้นส่วนใหญ่ คือ คนในพื้นที่ ที่ไม่มีชื่อในใบจองและ ต่อมามีการ เปลี่ยนมือกันมาเรื่อย ๆ ด้วยอาศัยการใช้สัญญาจะซื้อจะขาย เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้สละสิทธิ์ไปแล้ว เปลี่ยนใจจนเกิดปัญหา ภายหลัง และต่อมาก็ทำกินในที่ดินโดยไม่ที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ใดๆ เนื่องจากไม่สามารถขอออกเอกสารสิทธิ์ได้เพราะที่ที่ครอบครองอยู่เอกสารใบจองเป็นชื่อของคนนอกพื้นที่ ก็เลยยืดเยื้อเป็นปัญหาเรื่อยมา

ขณะที่อธิบดีกรมที่ดินโดยผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมผู้รับมอบอำนาจ ได้วางนโยบายให้สำนักงานที่ดินฯ ได้มีการสำรวจ ถ้าใครได้ใบจองแล้วทำผิดเงื่อนไข ไม่เข้าทำประโยชน์ หรือซื้อขายเปลี่ยนมือไปทำให้ผิดเงื่อนไข เนื่องจากใบจองจริง ๆ ซื้อขายไม่ได้ จึงจำเป็นต้องจำหน่ายใบจองที่ผู้มีชื่อในใบจองแต่ไม่เข้าทำประโยชน์ ออกไปก่อน เพื่อที่จะดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ผู้ว่าฯ จ.นครพนม จึงได้ทยอยประกาศจำหน่ายใบจองในพื้นที่ป่าดงพะทาย จำนวนทั้งหมดประมาณ 20,000 ไร่โดยมีผู้ที่ครอบครองที่ดินและทำกินอยู่ไม่ตรงชื่อตามใบจอง รวมทั้งสิ้นถึง 880แปลง จากนั้นคนที่ครอบครองอยู่จึงจะสามารถไปดำเนินการขอออกเอกสารสิทธิ์ตามกฎหมายที่ดินต่อไป

การที่ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ลงนามเพิกถอนใบจองในครั้งนี้นั้น เป็นการจำหน่ายใบจองของประชาชนที่มีชื่อครอบครองที่ดินแต่ไม่ได้เข้าทำประโยชน์ เพื่อให้ผู้ที่ครอบครองทำกินจริง ๆ สามารถใช้ช่องทางตามกฎหมายที่ดินขอออกเอกสารสิทธิ์ได้ต่อไปนั่นเอง จึงไม่ใช่การประกาศยึดที่ของใครคนใดคนหนึ่งตามที่เป็นข่าว ซึ่งที่ของผมก็ไม่มีใครยึดได้ เพราะตนครอบครองมา 30 กว่าปีแล้ว การที่ลงข่าวพาดหัวดังกล่าว น่าจะเป็นเจตนาที่ไม่เข้าใจ เรื่องราวที่แท้จริง เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องของนักการเมือง เรื่องของประธานสภา ถ้าไปเล่นข่าวเรื่องนี้ก็โด่งดังไปขายข่าวได้ ไม่ควรจะเป็นอย่างนั้น ควรเสนอข่าวอย่างตรงไปตรงมาและแสวงหาข้อเท็จจริงให้มากกว่านี้ และพื้นที่ดังกล่าวก็ไม่ใช่พื้นที่ป่า เป็นเพียงชื่อเรียกเท่านั้น เพราะเป็นพื้นที่รกร้างว่างเปล่า

นายศุภชัยกล่าวว่า ทั้งนี้เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2565 นายบุญนาก ถิระสวัสดี เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครพนมได้มีหนังสือรายงานข้อเท็จจริงเพิ่มเติมต่อ ผู้ว่าฯ จ.นครพนม กรณีได้รับแจ้งจากคณะอนุกรรมการจริยธรรมสภาผู้แทนราษฎรว่า พล... เสรีพิศุทธิ์ เตมียเวทย์ ประธานคณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบสภาผู้แทนราษฎร ได้ส่งเรื่องขอให้สำนักงานที่ดินจังหวัดนครพนมตรวจสอบการครอบครองที่ดินบริเวณป่าดงพะทาย ต.พะทาย อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม ของนายศุภชัย โพธิ์สุ ว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่อย่างไร

ซึ่งรายงานดังกล่าวระบุว่าในปี 2518 ถึง 2519 กรมที่ดินได้มีโครงการจัดที่ดินผืนใหญ่ป่าดงพะทาย ซึ่งตั้งอยู่ที่หมู่ 1,5,6 และ 9 .พะทาย อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม มีเนื้อที่ประมาณ 21,500 ไร่ และเจ้าหน้าที่ได้ตรวจพบว่านายศุภชัย โพธิ์สุ ได้ครอบครองที่ดินบริเวณป่าดงพะทาย จำนวนทั้งสิ้น 40 แปลงหรือ ประมาณ 200ไร่ เมื่อประมาณปี 2532 และที่ดินทั้ง 40 แปลงดังกล่าวผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมได้มีคำสั่งให้ผู้มีชื่อตามใบจองออกไปจากที่ดินและขาดสิทธิ์ไปทั้งหมดแล้ว โดยในการจัดสรรที่ดินครั้งนั้นจังหวัดนครพนมได้ปิดหน่วยจัดที่ดินและรายงานผลการดำเนินการให้กรมที่ดินทราบแล้วซึ่งถือได้ว่าภาระกิจการจัดที่ดินตามโครงการได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติเสร็จสิ้นแล้ว

ดังนั้นที่ดินที่จัดสรรจึงตกอยู่ภายใต้กฎหมายทั่วไป กล่าวคือ ที่ดินส่วนที่เป็นถนนหรือที่สาธารณะประโยชน์จะมีสถานะเป็นที่สาธารณะประโยชน์ประเภทพลเมืองใช้ร่วมกันส่วนที่ดินที่จัดสรรให้แก่ราษฎรอยู่อาศัยและทำกินแต่ผู้ได้รับการจัดสรรเดิมได้ละทิ้งไปด้วยเหตุผลประการใดก็ตามเมื่ออธิบดีกรมที่ดินโดยผู้ว่าราชการจังหวัดผู้รับมอบอำนาจได้มีคำสั่งให้ผู้ที่ได้รับการจัดสรรที่ดินเดิมออกจากที่ดินตามมาตรา 32แห่งประมวลกฎหมายที่ดินแล้วที่ดินนั้นก็จะมีสถานะเป็นที่สาธารณะประโยชน์ประเภท รกร้างว่างเปล่า ประกอบกับที่ดินบริเวณดังกล่าวไม่ปรากฏว่ามีการกำหนดให้เป็นเขตป่าไม้ถาวรหรือที่ป่าสงวนแห่งชาติแต่อย่างใด ดังนั้นเมื่อมีคำสั่งให้ผู้ที่ได้รับการจัดสรรที่ดินเดิมออกแล้ว สามารถเข้าครอบครองทำประโยชน์ได้และสามารถขอออกเอกสารสิทธิ์เพื่อออกโฉนดได้ด้วย โดยไม่ผิดกฎหมายแต่อย่างใด

นายศุภชัย กล่าวว่า นอกจากนี้เรื่องดังกล่าวในสมัยตนเป็นรมช.เกษตรและสหกรณ์ในปี 2553 ก็เคยถูกฝ่ายค้านยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจในเรื่องดังกล่าว อีกทางหนึ่งก็ส่งให้คณะกรรมการป... พิจารณาแต่ปรากฎว่าจนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังไม่ได้มีการตัดสินอะไรออกมา ย่อมสันนิษฐานได้ว่าไม่มีความผิดอะไร

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า