มองเกมการเมือง ‘ธรรมนัส’ กับอำนาจต่อรองหลังเปลี่ยนขั้ว

ช่วงท้ายของรัฐบาลสิ่งที่น่าจับตาคือการเคลื่อนไหวของกลุ่ม ‘ร.อ.ธรรมนัส’ อะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้ออกมาจากร่มเงาพรรคใหญ่อย่างพรรคพลังประชารัฐ และตัดสินใจยืนอยู่ข้างฝ่ายค้าน workpointTODAY ชวนนักวิชาการมาวิเคราะห์เรื่องนี้

นายวีระ หวังสัจจะโชค อาจารย์ประจำภาควิชารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร มองการเคลื่อนไหวของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจไทย หลังประกาศทำงานร่วมกับฝ่ายค้าน ว่า ร.อ.ธรรมนัส เป็นนักการเมืองมืออาชีพ สมมุติว่าในมือจะมี ส.ส.เพียง 2-3 เสียง ก็สามารถสร้างอัตราการต่อรองได้ ซึ่งขณะนี้แน่นอนว่ามี 16 เสียงอยู่ในมือ สิ่งนี้จึงเรียกได้ว่าเป็นคนมีของอยู่ในตัว อย่างไรก็ตามภาพความขัดแย้งที่เกิดขึ้นครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก เพราะตั้งแต่อยู่ในพรรคพลังประชารัฐ ก็มีปัญหากับกลุ่มต่างๆ แต่ความสัมพันธ์ระหว่าง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ใกล้ชิดกันมากเกินกว่าจะตัดขาดกัน ดังนั้นการเข้าร่วมกับฝ่ายค้านจะไม่ใช่ลักษณะจับมือร่วมกันร้อยเปอร์เซ็นต์ รอติดตามได้จากผลการโหวตลงคะแนนให้กับรัฐมนตรีในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ว่ารัฐมนตรีแต่ละคนจะได้คะแนนไม่เท่ากัน

“แต่ความพ่ายแพ้จากการเลือกตั้งซ่อมเขต 4 จ.ลำปาง ทำให้ราคาของพรรคตกลงมาบ้าง เพราะต้องยอมรับว่าคะแนนที่ได้เป็นฐานเสียงที่แท้จริงของผู้สมัคร ไม่ใช่เสียงที่มาจากการสนับสนุนของพรรคพลังประชารัฐร่วมด้วย” นายวีระ กล่าว

นายวีระ กล่าวว่า หลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ จนถึงการเลือกตั้งครั้งหน้า ไม่เชื่อว่า ร.อ.ธรรมนัส จะไปสังกัดกับพรรคเพื่อไทย เพราะสิ่งที่สะท้อนทุกวันนี้ ร.อ.ธรรมนัส ต้องการพื้นที่ของตัวเอง และจากการวิเคราะห์ ส.ส.ในพรรค ทุกคนล้วนแต่เป็น ส.ส.ที่มีฐานเสียงเป็นของตัวเองในพื้นที่ ดังนั้นการเลือกตั้งครั้งหน้า อย่างน้อยพรรคเศรษฐกิจไทยจะได้ 10-20 คน ซึ่งพอที่จะเข้าร่วมรัฐบาลและต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรี จะเป็นพรรคลักษณะคล้ายๆ กับพรรคชาติไทยพัฒนา ที่ไม่ใช่รัฐบาลแต่พร้อมเข้าร่วมทำงานเป็นรัฐบาล สอดคล้องกับภาพที่ไปกราบลา พล.อ.ประวิตร แม้จะอยู่คนละพรรคแต่ไม่อยู่ฝั่งตรงข้ามกันอย่างแน่นอน