Advertisement

SHARE

คัดลอกแล้ว

หลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกรณีสมาชิกภาพ ส.ส.ของนายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตหัวหน้าพรรคประชาชนปฏิรูป ไม่สิ้นสุดหลังเลิกกิจการแล้วย้ายไปสังกัดพรรคพลังประชาชารัฐ “ไพบูลย์โมเดล” จึงกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์และสร้างบรรทัดฐานให้พรรคการเมืองอื่นๆ workpointTODAY รวบรวมความเห็นจากหลายฝ่ายมาให้อ่านกัน

1) วิษณุ ชี้ ทำได้แต่ต้องทำให้เหมือน

วันที่ 21 ต.ค. 2564 นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ไม่สิ้นสมาชิกภาพ ส.ส. หลังพรรคประชาชนปฏิรูป (ปชช.) เลิกกิจการ แล้วไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) จะกลายเป็นโมเดลให้พรรคเล็กอื่นๆ ทำตามหรือไม่ ว่า ยังไม่เห็นรายละเอียดทั้งหมดเห็นแต่ตัวฉบับย่อที่ออกมา ถ้าทำได้ไม่ผิดคนอื่นก็ทำได้ไม่แปลก แต่ถ้าจะทำตามก็ทำให้เหมือน เพราะถ้าทำไม่เหมือนอาจจะแปลความเป็นอย่างอื่น

2) รังสิมันต์ เผยพรรคเล็กรวมพรรคใหญ่ ไม่สะท้อนอุดมการณ์ อนาคตเกิดปัญหา

ด้านนายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองเลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวว่า กรณีนี้เหมือนหนูทดลองว่าเมื่อเลิกพรรคตัวเองไปรวมกับพรรคใหญ่แล้ว สุดท้ายรอดหรือไม่รอด เมื่อคำวินิจฉัยออกมาแล้ว จะทำให้เกิดกระบวนการที่ตั้งพรรคการเมืองขึ้นมา ซึ่งอาจจะเป็นพรรคเล็กพรรคย่อย ไม่ได้มีความเข้มแข็งทางการเมืองในการเป็นสถาบันทางการเมือง แล้วเข้ามาได้คะแนนปัดเศษหรือคะแนนปริ่มๆ สุดท้ายก็มารวมกับพรรคใหญ่ ซึ่งไม่ได้สะท้อนอุดมการณ์

“ในเมื่อพรรคการเมืองสามารถเกิดขึ้นและไปยุบรวมกับพรรคการเมืองอื่นได้ตลอดเวลา กรณีของนายไพบูลย์ หากเทียบกับพรรคอนาคตใหม่ นายไพบูลย์ได้คะแนนน้อยกว่า ส.ส.ของเรา 1 คนแน่นอน นายไพบูลย์เข้ามาคะแนนก็มีปัญหาแล้ว และเมื่อเข้ามาแล้วก็ไปเลิกพรรคตัวเอง ประชาชนจึงเกิดคำถามว่าแบบนี้แค่ตั้งพรรคมาให้ได้คะแนนพอหอมปากหอมคอแล้วก็เลิกพรรค ไปเข้ากับพรรคใหญ่ ซึ่งการทำเช่นนี้เป็นสิ่งที่เราอยากเห็นในการเมืองจริงๆ หรือ และเมื่อเข้าไปพรรคใหญ่ สมมติวันหนึ่งนายไพบูลย์หลุดจากตำแหน่งลำดับ ส.ส.บัญชีรายชื่อ จะจัดการกันอย่างไร สิ่งเหล่านี้เป็นปัญหาแน่นอน” นายรังสิมันต์ กล่าว

3) อดีต กกต.ระบุถูกหลักนิติ แต่พังพินาศทางรัฐศาสตร์

ขณะที่นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โพสต์ข้อความว่า ถูกหลักนิติ แต่พังพินาศทางรัฐศาสตร์ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เป็นคำวินิจฉัยที่ตรงไปตรงมาทางข้อกฎหมาย เพราะ หนึ่ง หากกรรมการบริหารพรรคอยากจะมีมติยุบพรรค เพราะเขาไม่อยากบริหารต่อก็ย่อมทำได้ สอง เมื่อสมาชิกพรรคคนหนึ่งที่เป็น ส.ส. เมื่อพรรคถูกยุบ เขาก็มีสิทธิหาพรรคใหม่อยู่เพื่อคงสภาพเป็น ส.ส. เขาหาได้ใน 3 วันก็ไม่แปลก เพราะ กม. ให้เวลาถึง 60 วัน ตีความทุกอย่างตรงตามข้อกฎหมาย ไม่มีสิ่งใดผิดเพี้ยน แต่ในทางรัฐศาสตร์ ประตูแห่งเล่ห์กลของการหลีกเลี่ยง กม. ที่ห้ามควบรวมพรรคในระหว่างอายุของสภาผู้แทนราษฎรได้ถูกเปิดโดยศาลรัฐธรรมนูญแล้ว จากนี้พรรคใหญ่ สามารถควบรวมพรรคเล็ก โดยใช้มติ กรรมการบริหารพรรคเล็ก ส่วนพรรคเล็กจะมาด้วยเสน่หา หรือ อามิสสินจ้างนั้นไม่ทราบ แต่นี่คือทางออกใหม่ที่สวยงาม ไม่ต้องลงมติไล่แถมยังไปได้เป็นกลุ่มก้อน เป็นบรรทัดฐานใหม่อีกเรื่องสำหรับการเมืองไทย

4) เสรีรวมไทยมองแนวโน้มหลายพรรคเล็กทำตาม

นพ.เรวัต วิศรุตเวช ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย (สร.) กล่าวว่า เข้าใจว่าคนทั้งประเทศเหนื่อยใจจริงๆ แต่เมื่อเป็นคำวินิจฉัยของศาลก็ไม่น่าจะวิพากษ์วิจารณ์อะไรได้ แต่ถามว่า ถ้าวินิจฉัยเช่นนี้ก็ต้องยอมรับไป แต่การที่นายไพบูลย์กับกรรมการบริหารพรรคไม่กี่คนประชุมแล้วยุบพรรค โดยไม่ผ่านการประชุม หรือมีส่วนร่วมของสมาชิกพรรคที่เข้ามา เพราะเลื่อมใสศรัทธาในพรรคของนายไพบูลย์ ที่มีนโยบายเกี่ยวกับการน้อมนำคำสอนของพระพุทธเจ้า หรือศรัทธาต่อนโยบายเลย ซึ่งตามหลักการแล้ว เรื่องนี้ควรจะผ่านการประชุมของสมาชิกทั้งหมด

“โดยคนที่อยู่ในพรรคนั้น น่าจะสิ้นสภาพการเป็น ส.ส. ไม่น่าจะย้ายไปเป็นปาร์ตี้ลิสต์ของ ส.ส.อีกพรรคได้ แต่ในเมื่อศาลวินิจฉัยออกมาเช่นนี้ก็ต้องเป็นไปตามคำวินิจฉัย แต่ผลที่จะตามมาก็คือ จะมีพรรคที่มี ส.ส.คนเดียว และพรรคที่ได้เป็นส.ส.จากการปัดเศษด้วยคะแนนที่มีวิธีคิดแบบพิศดารอีกหลายพรรค คงจะมีแนวโน้มที่จะทำตามแบบไพบูลย์โมเดลค่อนข้างแน่นอน เพราะเมื่อศาลวินิจฉัยเช่นนี้แล้ว จึงเป็นสิ่งที่อ้างอิงได้ว่า หากยุบพรรคตัวเองไปรวมกับพรรคพปชร.ได้” นพ.เรวัติ กล่าว

5) หน.ประชาธรรมไทย ยอมรับยื่นขอยุบพรรคแล้วไปสังกัด พปชร.

นายพิเชษฐ สถิรชวาล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธรรมไทย ยอมรับ ยุบพรรคประชาธรรมไทยเพื่อเตรียมย้ายเข้าพรรคพลังประชารัฐ ว่า ทำเรื่องขอยุบพรรคมาตั้งแต่เดือน เม.ย. จากนั้นเจ้าหน้าที่ กกต. เรียกคณะกรรมการบริหารของพรรคไปสอบปากคำเพื่อยืนยันไม่ได้เป็นการบังคับให้ยุบพรรค และได้มีมติให้ยุบพรรคเมื่อ 9 ส.ค. ขั้นตอนหลังจากนี้ต้องรอประกาศราชกิจจานุเบกษาให้พรรคประชาธรรมไทย สิ้นสภาพ จากนั้นย้ายไปสังกัดพรรคใหม่ภายในกรอบ 60 วัน

เมื่อถามถึงเสียงวิพากษ์วิจารณ์ เป็นการเดินตามรอย “ไพบูลย์ โมเดล” หรือไม่ นายพิเชษฐ ยอมรับว่า เป็นส่วนหนึ่ง เพราะกรณีนายไพบูลย์ ทำให้กระจ่างขึ้นว่า การยุบพรรคแล้วไปสังกัดอีกพรรคหนึ่ง ไม่ทำให้ขาดสมาชิกภาพ ส.ส. หลังจากนี้เตรียมย้ายเข้าสังกัดพรรคพลังประชารัฐ โดยได้พบกับ พล.อ.ประวิตรวงษ์ สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ไปแล้วและได้พูดคุยกับ ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรคแล้วด้วย

เมื่อถามถึงเหตุผลหลักในการตัดสินใจเตรียมย้ายเข้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) มาจากกรณีบัตรเลือกตั้ง 2 ใบที่พรรคเล็กอาจสูญพันธุ์ใช่หรือไม่ นายพิเชษฐ์ กล่าวยอมรับเป็นเหตุผลหนึ่ง แต่เหตุผลสำคัญของตนคือการขับเคลื่อนนโยบายที่เสนอตอนตั้งพรรคและรับปากจะดูแลประชาชน เนื่องจากที่ผ่านมาไม่สามารถขับเคลื่อนสิ่งที่หาเสียงไว้กับประชาชน แต่หากเข้าพรรคพลังประชารัฐ จะสามารถผลักดันนโยบายที่เป็นประโยชน์และตรงกับนโยบายของรัฐบาลได้

ส่วนประเด็นมีหัวหน้าพรรคเล็กอื่นๆ มาปรึกษาเรื่องยุบพรรคหรือไม่นั้น นายพิเชษฐ์ ยอมรับมีพรรคเล็กเข้ามาปรึกษา ตอนนี้รอความชัดเจนเรื่องกฎหมายลูก โดยเฉพาะกรณีบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ พรรคเล็กบางพรรคอาจต้องเปลี่ยนจากลงสมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ไปลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.เขตแทน

6) สองพรรคเล็ก ยันไม่ยุบพรรค

นายปรีดา บุญเพลิง ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคครูไทยเพื่อประชาชน ระบุว่า จะไม่ทำตาม “ไพบูลย์ โมเดล” เพราะขึ้นอยู่กับมติของแต่ละพรรค ทุกพรรคตั้งขึ้นมาเพื่อต้องการทำหน้าที่ในฐานะตัวแทนปวงชน ส่วนจะได้ ส.ส. มากแค่ไหนขึ้นอยู่กับนโยบายที่จะนำเสนอ พรรคครูไทยเพื่อประชาชนยังยืนยันที่จะทำพรรคของเราต่อไป ไม่ยุบ ไม่รวม

ขณะที่ นายพีระวิทย์ เรื่องลือดลภาค ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคไทรักธรรม กล่าวว่า ไม่คิดย้ายพรรคหรือยุบพรรค แต่ถ้าให้มองกรณีของนายไพบูลย์ ซึ่งมีตัวกฎหมายที่ว่าพรรคไม่พร้อม คือยุบพรรคไป ไม่ได้เป็นการรวมพรรค ถ้าเป็นการรวมพรรคถือว่าผิด แต่นายไพบูลย์ขอยุบพรรค และการที่มีกฎหมายคุ้มครองสิทธิ์สถานภาพส.ส.ให้ย้ายพรรคภายใน 60 วัน เราก็ต้องเคารพคำวินิจฉัยของศาล

ส่วนพรรคไทรักธรรม เป็นพรรคที่มีส.ส.คนเดียว จะเอาแบบอย่างหรือไม่ นายพีระวิทย์ กล่าวว่า คงไม่ทำ แม้เป็นพรรคเล็ก แต่ไม่คิดว่าจะไปยุบพรรคร่วมกับใคร พร้อมเดินให้เป็นหนึ่งในพรรคทางเลือก และจะทำให้ดีที่สุด เพราะเมื่อทราบว่าจะมีการแก้เป็นบัตรเลือกตั้งสองใบ หันไปลงเขตในนามพรรคเดิม เพราะการลงเขตทำพื้นที่ได้ชัดเจนขึ้น ไม่ต้องวิ่งไปทั่วประเทศเหมือนการลงบัญชีรายชื่อ และการลงสมัครแบบเขต ตนมองว่าไม่ได้อยู่ที่ชื่อพรรค แต่อยู่ที่ตัวเราว่าจะทำให้ประชาชนรู้จักมากน้อยแค่ไหน และส่วนตัวจะลงสมัครเขต 4 จ.สระบุรี เพราะเป็นพื้นที่บ้านเกิด ทั้งนี้ลงพื้นที่มาตั้งแต่มีโควิดระบาด และรู้ว่าจะมีการแก้รัฐธรรมนูญแล้ว โดยพรรคไทรักธรรม จะส่งผู้สมัคร ส.ส.เขตประมาณ 10 เขต ทั่วประเทศ ซึ่งเราจะทำให้เต็มที่

“บัตรสองใบก็รู้อยู่แล้วใครรักชอบพรรคใหนก็เลือกพรรคนั้น อีกใบถ้าเห็นว่าผมทำงานดีก็ให้เลือกผม ซึ่ง ส.ส.เขตอย่างน้อย 2 หมื่นกว่าคะแนนก็ได้แล้ว ก็จะไม่มีข้อครหา เป็น ส.ส.ปัดเศษ” นายพีระวิทย์ กล่าว

podcast

LATEST
OUR PICKS
HOT
กำลังโหลดบทความถัดไป...

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า