PTT Group CG Day 2023 ผสานพลังต่อต้านคอร์รัปชัน ยกระดับ ‘ความโปร่งใส’ เป็นวัฒนธรรมองค์กร

กลุ่ม ปตท. จัดงาน PTT Group CG Day 2023 บนเป้าหมายที่ต้องการให้ความสำคัญและส่งเสริมการดำเนินธุรกิจอย่างมีธรรมาภิบาล มีการกำกับกิจการที่ดี และต้องการขับเคลื่อนธุรกิจให้มีความโปร่งใส มีธรรมาภิบาล พร้อมส่งเสริมบุคลากรของกลุ่ม ปตท. ให้ร่วมกันต่อต้านทุจริตคอร์รัปชันในทุกรูปแบบ สามารถนำหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีมาประยุกต์ใช้ทั้งภายในและภายนอกองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ซึ่งในปีนี้ 6 บริษัทเรือธงในกลุ่ม ปตท. ได้เข้าร่วมผนึกพลังและความมุ่งมั่นร่วมกัน ประกอบด้วย บมจ.ปตท.นํ้ามันและการค้าปลีก หรือโออาร์ ซึ่งเป็นเจ้าภาพในปีนี้, บมจ. ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ ปตท.สผ., บมจ.ไทยออยล์, บมจ. พีทีที โกลบอล เคมิคอล หรือจีซี, บมจ.ไออาร์พีซี และ บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ หรือจีพีเอสซี

‘นพดล ปิ่นสุภา’ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ กลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การจัดงาน PTT Group CG Day 2023 ครั้งนี้เป็นการจัดงานครั้งที่ 15 ซึ่งกลุ่ม ปตท. จัดต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549

โดยกิจกรรมในครั้งนี้เป็นการจัดต่อเนื่องซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจของกลุ่ม ปตท. ในการรณรงค์และส่งเสริมให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานทุกระดับ ปฏิบัติการภายใต้หลักการดูแลกิจการที่ดีอย่างจริงจัง และถือเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการที่ทำอย่างต่อเนื่องจนเกิดเป็นวัฒนธรรมในกลุ่ม ปตท.

“ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินงานอย่างโปร่งใสไปในทิศทางเดียวทั้งกลุ่ม พร้อมทั้งส่งเสริมให้ลูกค้าและคู่ค้าที่ดำเนินธุรกิจร่วมกันอย่างมีจริยธรรม เพื่อร่วมยกระดับความโปร่งใสของประเทศไทยให้เป็นที่ประจักษ์ไปด้วยกัน”

‘ดิษทัต ปันยารชุน’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร OR กล่าวว่า OR มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมกับบริษัทในกลุ่ม ปตท. เพื่อแสดงศักยภาพ และความมุ่งมั่นในการประสานพลังร่วมกัน เพื่อสร้างและพัฒนาธุรกิจให้มีความแข็งแกร่งและเติบโตสู่อนาคตที่ยั่งยืน

โดยแนวคิดสำหรับการจัดงานในครั้งนี้คือ “Good to Great – CG Empowering for the Future ผสานพลังร่วม รวมพลังสร้าง สู่อนาคตยั่งยืน” เพื่อให้กลุ่ม ปตท. บรรลุเป้าหมายการเป็นองค์กรที่เติบโตร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ

“นอกจากนี้ยังเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการสร้างพื้นที่ให้กรรมการผู้บริหาร พนักงานทุกระดับในกลุ่ม ปตท. ได้แลกเปลี่ยนความคิด และร่วมมือพัฒนาธุรกิจบนหลักการการกำกับดูแลที่ดี และต่อต้านการทุจริตทุกรูปแบบ เพื่อให้ธุรกิจของเราเป็นธุรกิจที่มีความน่าเชื่อถือ โปร่งใส และตรวจสอบได้ เพื่ออนาคตที่ยั่งยืนทั้งภายในและภายนอกองค์กร”

ภายในงานนอกจากจะมีการจัดแสดงนิทรรศการทั้งในรูปแบบออนไซต์และออนไลน์, มีการประกวด CG Contest และเวที CG Talk : Great of Trust โดย ผศ.ดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาเศรษฐศาสตร์การเมือง คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แล้ว ยังมีการเสวนาโดย CEO ของกลุ่ม ปตท. ด้วย ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

‘วุฒิกร สติฐิต’ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้นและก๊าซธรรมชาติ บมจ.ปตท. กล่าวว่า เชื่อว่าการกำกับกิจการที่ดี จะเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่ขับเคลื่อนให้กลุ่มมีความยั่งยืน สิ่งสำคัญคือเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นไม่ได้ถ้าพนักงานซึ่งเป็นผู้ขับเคลื่อนและปฏิบัติ ไม่มีความคิดจะทำเรื่อง CG ดังนั้น วิธีการที่ใช้ในการขับเคลื่อนวัฒนธรรมองค์กร นอกจากสปิริตแล้วก็มีแนวทางจะทำเรื่อง CG กับทั้งข้างในและข้างนอก

“โดยข้างใน มีการกำหนดพฤติกรรมที่ประสงค์จะเห็น ผู้บริหารระดับสูงมีการประกาศเจตนารมณ์เรื่อง CG มีการสร้างบรรยากาศที่ดีในการทำเรื่อง CG มีช่องทางให้พนักงานแจ้งหากพบการทำทุจริต ส่วนภายนอก กับคู่ค้าเรามีระบบสกรีนให้คู่ค้าทำสิ่งต่างๆ ที่ถูกต้อง มีการแชร์องค์ความรู้ให้คู่ค้าเข้าใจการทำ CG นอกจากนี้เรายังร่วมมือกับ ป.ป.ช. ในการทำสิ่งเหล่านี้ให้เกิดขึ้น จนทำให้กลุ่ม ปตท.ได้รับรางวัลเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง”

‘สัมฤทธิ์ สำเนียง’ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานการเงินและการบัญชี PTTEP กล่าวว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาสู่ธุรกิจเยอะมาก ปตท.สผ.มีการนำดิจิทัลเข้ามาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ลดต้นทุน พัฒนาบุคลากรให้มีดิจิทัลในมายด์เซ็ตมากขึ้น

“ขณะที่ CG ผูกติดกับเรื่องความเสี่ยงของธุรกิจ เราเลยรวม GRC เข้าด้วยกัน สิ่งที่เราทำในการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ใน CG นั้น ยกตัวอย่างชัดๆ คือ GRC One Digital System เอาระบบ GRC ทุกเรื่องมาอยู่ที่เดียวกัน มีแดชบอร์ดให้ดูว่ามีความเสี่ยงอย่างไรกับองค์กร ซึ่งผู้บริหารและพนักงานสามารถเข้าไปดูได้”

‘คงกระพัน อินทรแจ้ง’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ GC ทำจะต้องสอดคล้องกับความต้องการของโลก และต้องดี ปลอดภัย เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

“ในการทำผลิตภัณฑ์ กระบวนการได้มาซึ่งผลิตภัณฑ์ก็ต้องดีด้วย ทั้งกระบวนการผลิตและกระบวนการทำงานของคน โดยกระบวนการของคนภายในนั้นครอบคลุมไปถึงการดีลกับซัพพลายเออร์ การดีลกับลูกค้า จนถึงการทำงานที่ไม่เกี่ยวกับภายนอก ต้องเป็นคนดี เห็นประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน”

‘บัณฑิต ธรรมประจำจิต’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ไทยออยล์ กล่าวว่า ปัจจุบันมีความท้าทายในด้านต่างๆ เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก ในระยะสั้นเช่นเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ ในระยะยาวคือเรื่องสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง นโยบายสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดมากขึ้น การใช้พลังงานหมุนเวียนเยอะขึ้น ไทยออยล์ที่ผลิตน้ำมันเป็นหลัก จึงเรียกได้ว่านี่เป็นความท้าทายสำคัญ

“นั่นทำให้ฝ่ายจัดการเรามีกลยุทธ์ 3E ด้านความยั่งยืน คือ 1.Enhance green environment โดยเรามุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2050 มีคอมมิตเมนต์ Net-Zero ในปี 2060 ซึ่งมีโรดแมปชัดเจนว่าจะเดินทางไปอย่างไร 2.Engage Society การสร้างความสัมพันธ์กับชุมชนและสังคมให้เติบโตไปด้วยกัน 3.Ensure good governance เป็นการสร้างธรรมาภิบาลที่ดี ดำเนินงานอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ โดยมีตัวชี้วัดว่าเราไม่มีการทุจริตคอร์รัปชั่น ไม่มีการฝ่าฝืนกฎหมายและกฎระเบียบ”

‘กฤษณ์ อิ่มแสง’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ IRPC กล่าวว่า หลัก ESG ของ IRPC วันนี้มาถึงเรื่อง Governance โดยให้ความสำคัญในเรื่องของคนที่จะมาขับเคลื่อนองค์กร และเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้องค์กรมีการเติบโตอย่างยั่งยืน

“โดยเลขานุการบริษัททำการ์ตูนขึ้นมา 1 เล่ม ที่ให้คนบริษัทได้อ่านว่าถ้าเจอสถานการณ์เหล่านี้ที่เกี่ยวข้องกับ CG จะปฏิบัติอย่างไร ซึ่งเป็นที่แพร่หลายมาก และกำลังจะมี edition อื่นตามมา ซึ่งเนื้อหาจะอยู่บนหลักพื้นฐานเรื่องความซื่อสัตย์ ความยุติธรรม ความโปร่งใส ความรับผิดชอบ ซึ่งคน IRPC ทั้งบริษัทต้องมีต่อ Stake holder”

‘วรวัฒน์ พิทยศิริ’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ GPSC กล่าวว่า องค์กรเราเชื่อว่าจะเติบโตอย่างยั่งยืนได้ต้องดูแล stake holder ได้อย่างเหมาะสมครบถ้วน การผลิตไฟฟ้าเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก เรื่องนี้ไม่ง่ายเพราะมนุษย์ยังต้องใช้ไฟฟ้า GPSC พยายามตั้งเป้าหมายว่าจะสร้างการเติบโตให้ธุรกิจโดยไม่กระทบกับสิ่งแวดล้อมโลก

“ปี 2020 ซึ่งเป็นปีแรก เรามีพลังงานหมุนเวียนอยู่ราว 600 เมกะวัตต์ ปลายปี 2023 เราน่าจะมี 4,000 เมกะวัตต์ ส่วนเป้าของเราคือในปลายปี 2030 เราจะมี 15,000 เมกะวัตต์ นี่เป็นตัวอย่างที่เราบอกว่าเราจะเติบโตทางธุรกิจไปโดยไม่กระทบหรือทำลายสิ่งแวดล้อม”

ปิดท้ายด้วย ‘ดิษทัต ปันยารชุน’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร OR กล่าวว่า OR เป็นเหมือน customer gateway ที่ใกล้ชิดกับลูกค้า ชุมชน และสิ่งแวดล้อมมากๆ ทำให้ OR เป็นภาพลักษณ์ขององค์กรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงต้องระมัดระวังและให้ความสำคัญในเรื่องการกำกับดูแลที่ดีเป็นอย่างยิ่ง

“เรามีสถานีบริการอยู่มากมาย มีคาเฟ่อเมซอนอยู่กว่า 4,000 สาขา โมเดลธุรกิจเราเป็นผู้ให้โอกาสกับผู้ประกอบการ เรามีบิสิเนสโมเดล 80:20 คือผู้ประกอบการลงทุน 80% เราลงทุน 20% นี่คือการให้โอกาสที่มองว่าดีที่สุดในการปฏิบัติการ เพราะการทำธุรกิจถ้าเราทำเองทั้งหมดก็จะเกิดความไม่สมดุลในระบบนิเวศ นอกจากนี้เรายังประกอบธุรกิจร่วมกันไปกับ SMEs ต่างๆ เพื่อให้เกิดการเจริญเติบโตร่วมกัน

“อย่างไรก็ตาม เราต้องสร้างระบบต่างๆ ขึ้นมาเพื่อดูแลความเป็นธรรมกับทุกคนในอีโคซิสเต็มเรา และให้ไม่เกิดข้อครหาว่าโอกาสนี้เป็นของใคร หรือดำเนินธุรกิจอย่างเป็นธรรมหรือไม่”