แป้ง-นิจษา สุวรรณพฤษชาติ “เพื่อน โปรดักชัน” จากเด็กที่ไม่มีความฝันในชีวิต สู่ผู้อยู่เบื้องหลังภาพยนตร์ทำเงิน 100 ล้าน

แป้ง-นิจษา สุวรรณพฤษชาติ ผู้ก่อตั้ง บริษัท เพื่อน โปรดักชัน จำกัด จากเด็กที่ไม่มีความฝันในชีวิต สู่ผู้อยู่เบื้องหลังภาพยนตร์ทำเงิน 100 ล้าน

“เชื่อไหมว่า แป้งไม่เคยมีความฝันอยากทำอะไรเป็นพิเศษ รู้แค่เรียนนิเทศ ก็คงต้องทำงานด้านนี้เท่านั้นเลย”

ประโยคเปิดบทสนทนาอย่างยิ้มๆ ที่พาให้อยากรู้ว่า แล้วเป็นยังไงมายังไงถึงมีธุรกิจเป็นของตัวเอง และยังอยู่เบื้องหลังภาพยนตร์ 100 ล้านได้ ซึ่งเธอก็ไม่ปล่อยให้ทีมงานสงสัยนาน คุณแป้งเล่าต่อไปว่า เธอเรียนนิเทศศาสตร์ เอกวิทยุ โทรทัศน์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เรียนๆ เล่นๆ แต่เป็นคนที่ทำอะไรแล้วทำสุด บันเทิงก็สุด ดื่ม เที่ยว สุดทุกอย่าง แต่เรื่องเรียนเธอก็มีความรับผิดชอบสูง หากอาจารย์มอบหมายให้ทำงานอะไร เธอก็ทำให้ดีที่สุด เพราะเธอถือคติว่า ‘อย่างน้อยได้ลองทำดีที่สุด ก็ยังดีกว่าต้องพูดว่า รู้งี้’  

ไม่ได้คิดเรื่องธุรกิจ แต่รู้ว่าชีวิตต้องการเป็นคนเก่ง

 “แป้งแค่อยากเป็นคนเก่งเรื่องอะไรสักด้านหนึ่ง จึงคิดว่าต้องพาตัวเองไปอยู่ใกล้กับคนเก่ง แล้วตอนเรียนจบสนใจด้านโฆษณา พอดีกับที่บริษัททำโฆษณาแห่งหนึ่งเปิดรับ แป้งอยากเข้าไปเรียนรู้ เพราะมีแต่คนเทพๆ ไม่สนใจเรื่องเงินเลย เพราะคิดว่าเราต้องเก่งให้ได้ แต่ทำไปได้แค่หนึ่งปีครึ่ง ก็มีปัญหาหลายอย่างอาจเพราะเราก็ยังเด็ก ทำให้เครียดง่ายแล้วก็ถามตัวเองว่าใช่ทางจริงๆ ใช่ไหม เพราะรู้สึกไม่ชอบบรรยากาศ พอทำงานไปเรื่อยๆ แล้วมีปัญหาสุขภาพ กินอะไรไม่ได้ ผอมเหมือนผี ร้องไห้ โดนว่าทุกวัน ก็ส่งผลทั้งสุขภาพกาย สุขภาพจิต สุดท้ายก็เลยลาออก”

คุณแป้งเหมือนระลึกความหลัง เพราะเธอยิ้ม แล้วเล่าต่อว่า

“แป้งพอมาถึงวันนี้ แป้งมองย้อนกลับไป โชคดีมากที่เคยทำงานบริษัทนั้นมาก่อน เพราะแป้งกล้าพูดเลยว่า ถ้าไม่เคยทำงานที่นั่น ก็คงไม่มีเพื่อน โปรดักชั่น ในวันนี้”

ก้าวเล็กๆ จากงานประจำ สู่การก่อตั้งเพื่อน โปรดักชั่น

หลังจากที่คุณแป้งออกจากงานประจำ มีคนรู้จักชวนทำฟรีแลนซ์เป็นผู้ช่วยโปรดิวเซอร์ หลังจากนั้นหนึ่งปีก็ได้ลองทำโปรดิวเซอร์ เธอบอกว่าบรรยากาศการทำงานระหว่างบริษัทกับฟรีแลนซ์แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ที่สำคัญเธอตอบตัวเองได้ว่า เธอชอบงานนี้ และเมื่อเป็นฟรีแลนซ์ครบ 2 ปี เพื่อนจากบริษัทที่เคยทำงานอยู่บริษัทเดียวกันก็ออกจากงานและชวนคุณแป้งเปิด Production House ซึ่งคุณแป้งเป็นคนที่นอกจากจะทำอะไรต้องทำให้สุดแล้ว ยังชอบคว้าทุกโอกาสที่ดีที่อยู่ตรงหน้า และแน่นอนว่าเธอยินดีรับโอกาสนี้

การรวมตัวกันของเพื่อนๆ คุณแป้งทั้งสี่คน เมื่อรวมเธอด้วยจะกลายเป็นห้าคน เกิดเป็น บริษัท เพื่อน โปรดักชั่น จำกัด ในส่วนนี้คุณแป้งเล่าว่า

“การที่เด็กกะโหลกกะลาห้าคนมารวมตัวกันตอนเปิดบริษัท แป้งพูดกับเพื่อนตรงๆ คือพวกเราจะสื่อสารกันอย่างตรงไปตรงมาอยู่แล้ว คำพูดที่บอกพวกเขาคือ ‘แป้งไม่รู้ว่าแป้งจะทำได้หรือเปล่า แต่แป้งจะทำให้ดีที่สุดนะ’ แล้วทุกคนต่างคนก็ต่างทำหน้าที่ของตัวเอง แป้งพอจะมี Connection ก็จะได้งานมาเรื่อยๆ ช่วงแรกงานเล็กๆ ที่เงินน้อย พวกเรารับหมด ถือเป็นการสะสมประสบการณ์ไปในตัว”

คุณแป้งเล่าต่อไปว่า บริษัทของเธอทำโฆษณา เพราะทุกคนมาจากสายโฆษณาก็อยากจะไปให้สุด ซึ่งความท้าทายของงานโฆษณาคือ การเจอกันตรงกลางระหว่างทีมทำโฆษณาและลูกค้า ต้องปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรให้หนังโฆษณาออกมาดี แต่ดีในที่นี้ ต้องขายของให้ลูกค้าได้ด้วย

ปากต่อปากสู่การเติบโต

แน่นอนว่ายุคปัจจุบันการทำให้ธุรกิจเติบโต การทำการตลาดผ่านสื่อออนไลน์เป็นสิ่งจำเป็น แต่สำหรับเพื่อน โปรดักชั่น ธุรกิจเริ่มโตขึ้น มีงานเยอะขึ้นจนต้องรับคนมาช่วยงานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นั่นก็เพราะหลักๆ คือ ลูกค้าบอกต่อกันปากต่อปาก

“ทีมเราถือคติว่า เราคือผู้ที่แก้ปัญหาให้กับลูกค้า เขามาหาเรา เพราะเขาต้องการเรา เราจะไม่ปฏิเสธคำขอของลูกค้าทันทีถ้ามีเงื่อนไขที่เรายังไม่เคยทำ เรียกง่ายๆ ว่า จะไม่มีคำว่า ‘ทำไม่ได้’ ออกจากปากพวกเรา แต่จะบอกว่า จะลองทำให้ดีที่สุด ซึ่งถ้าเราลองทำถึงที่สุดแล้ว ติดขัดเรื่องอะไรเราก็จะเปิดอกคุยกับลูกค้าตรงๆ เพื่อน โปรดักชั่น คือการทำงานที่เหมือนทำงานกลุ่ม ไม่ว่ากับลูกค้า กับทีมงานด้วยกัน กับพี่คนขับรถ เราจะคุยกันเหมือนเพื่อน เพื่อนที่ช่วยแก้ปัญหา เพื่อนที่พร้อมจะก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน และอาจเป็นเพราะการทำงานที่ไม่เคยปฏิเสธ รวมถึงการปฏิบัติกับลูกค้าอย่างจริงใจ มองเขาเป็นเพื่อน ไม่ใช่มองว่านี่คือลูกค้า แป้งคิดว่าเขาสัมผัสได้  ก็เลยมีการบอกต่อกันว่า ออฟฟิศนี้แก้ปัญหาได้ ทำหนังออกมาได้ดี คุยกันได้”

ไม่มีธุรกิจไหนโรยด้วยกลีบกุหลาบ เมื่อสถานการณ์โรคระบาด COVID-19 กระจายไปทั่วโลก ธุรกิจที่ต้องเจอคนมักจะโดนผลกระทบเต็มๆ โดยเฉพาะธุรกิจเกี่ยวกับกองถ่าย ช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ คุณแป้งเล่าว่า

“แป้งต้องบอกว่าช่วงโควิดผ่านมาอย่างทุลักทุเลมากๆ เราไม่มีงาน เพราะออกไปถ่ายไม่ได้ ตอนสถานการณ์ยิ่งรุนแรงที่มีมารตรการต่างๆ ออกมา เราไม่กล้าเสี่ยง รายได้ไม่มี แต่รายจ่ายรออยู่ จริงๆ ถามว่าแป้งกับหุ้นส่วนเครียดไหม ก็ประมาณหนึ่ง แต่พวกเราคิดเหมือนกันว่า ทุกที่โดนกันหมด เมื่อปัญหามา เราก็แค่ต้องตั้งสติแล้วแก้ไขให้ได้ ตอนนั้นก็เอาเงินที่บริษัทเก็บไว้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เอามาหมุนจ่ายพนักงานก่อน ซึ่งน้องๆ ก็ดีมาก ทุกคนพร้อมใจกันบอกว่า ให้ลดเงินเดือนได้ แต่แป้งทำไม่ได้ เขาทำงาน เขาก็ต้องได้เงิน”

“ตอนไม่มีงาน เวลาว่างเยอะมาก ก็ลงความเห็นว่า มาใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ และเป็นการหารายได้ได้ด้วย ก็เลยขายกับข้าวออนไลน์ แต่สุดท้ายไปไม่รอด เพราะตอนลงมือทำจริง พวกเราไม่เก่ง ก็เลยคุยกันว่า ถ้าไม่ถนัดอย่าฝืนดีกว่า ก็ปิด จ็อบ พับแผน แต่ก็ยังโชคดีที่เริ่มมีงานเล็กๆ น้อยๆ  และพวกเราไม่ปฏิเสธงาน งานที่ไม่ต้องออกไปถ่าย เช่น งานที่นำฟุตเทจมายำรวมกัน ก็รับทำ หรืองานที่เงินน้อยมากๆ ก็รับหมด เพราะถ้าไม่ทำ เราจะไม่มีรายได้เลย”

เบื้องหลังหนังเงินล้าน การกลับมาปังหลังผ่านวิกฤต

เมื่อสถานการณ์โรคระบาดเริ่มดีขึ้น งานของเพื่อน โปรดักชั่นก็กลับมาดีขึ้นมาก และในปี พ.ศ.2567 นี้ ถือเป็นปีที่ปังยิ่งกว่าเดิม เพราะพวกเขาได้ทำงานร่วมกับ บริษัท สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด การได้ร่วมงานในครั้งนี้ คุณต่าย-ภัทราวุธ มาตยานุมัตย์ ผู้ร่วมก่อตั้ง เพื่อน โปรดักชั่น จำกัด เล่าว่า

“ต่ายมีคุณน้าที่เคยทำงานกับสหมงคลฯ เขาถามตั้งแต่ปีที่แล้ว ว่ามีผู้กำกับหญิงไหม ตอนนั้นยังไม่มีโอกาสได้ตอบรับ แต่ปีนี้เขาก็มาถามหาผู้กำกับอีกครั้ง เพราะเขายังขาดอีกโปรดักชั่นเฮ้าส์หนึ่ง ซึ่งทีมเราอิ่มตัวกับการทำโฆษณามามากแล้ว และทุกคนก็อยากทำหนัง เพราะจะใส่ความคิดของพวกเราได้เยอะมากกว่า แต่ทั้งนี้ก็ต้องไป Pitching กับที่อื่นด้วยเหมือนกัน สุดท้ายทางสหมงคลฟิล์มก็สนใจผู้กำกับที่เราเสนอไป เบิ้ล-นนทวัฒน์ นำเบญจพล ก็เลยได้ทำตอนที่สองของภาพยนตร์เทอม 3 ชื่อเรื่องว่า พี่เทค”  

คุณแป้งเล่าเสริมคุณต่ายว่า “สิ่งที่เป็นที่สุดของการได้มามีส่วนร่วมกับภาพยนตร์เทอม 3 คือได้เจอกับอีกสองโปรดักชั่นส์เฮ้าส์ระดับเทพ และผู้กำกับมากฝีมือ อย่างเรื่องแรก ขบวนแห่ เรื่องนี้สร้างโดยผู้กำกับรุ่นใหม่ไฟแรงจาก สตูดิโอ คำม่วน ของพี่มะเดี่ยว-ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล และตอนที่สาม ศาลล่องหน กำกับโดยผู้กำกับรุ่นใหม่ที่เก่งมากๆ จากทีมของพี่โขม-ก้องเกียรติ โขมศิริ”

คุณแป้งเล่าต่อว่า การได้กำกับภาพยนตร์ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ยิ่งใหญ่ และเหมือนได้เติมเต็มในสิ่งที่การทำโฆษณาทำไม่ได้ ทุกอย่างแปลกใหม่และสวยไปหมด สวยแบบภาพยนตร์ นักแสดงก็เก่ง บทดี แต่ที่สุดเลยก็คือ การได้เห็นชื่อ เพื่อน โปรดักชั่นในส่วนของ End Credit บนจอภาพยนตร์ เธอเล่าว่า วินาทีที่เห็น ภาพเก่าๆ ย้อนกลับมาว่า จากเด็กกะโหลกกะลากลุ่มหนึ่ง จะมีวันที่ได้เห็นชื่อบริษัทตัวเองบนจอภาพยนตร์ แล้วยิ่งไปกว่านั้นภาพยนตร์ทำรายได้ไปแล้วกว่า 129.4 ล้านบาท (รายได้อัปเดตเดือนสิงหาคม พ.ศ.2567) นี่คือที่สุดแห่งความภาคภูมิใจอย่างแท้จริง  

จากความภูมิใจ สู่แผนการขยายธุรกิจ

“ทีมเราคุยกันถึงทิศทางธุรกิจในอนาคต เคยคิดจะทำหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นงานถ่ายภาพนิ่งหรืออื่นๆ แต่สุดท้ายแล้ว ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า พวกเราถนัดงานโฆษณา ก็จะทำงานโฆษณาเป็นตัวยืน แต่ถ้าในแง่ความฝัน ตอนนี้พวกเราอยากที่จะทำหนังใหญ่ ซีรีส์ ถ้ามีบทดีๆ ทุกคนในทีมก็อยากจะลอง”

จากรุ่นพี่สู่รุ่นน้อง ยุควัตถุนิยม เงินสำคัญ แต่อย่าเอาเป็นที่ตั้ง ถ้ายังทำตัวมีมูลค่าไม่ได้

ก่อนจบการพูดคุยกันในครั้งนี้ คุณแป้งได้ฝากถึงน้องๆ ที่มีความฝันอยากจะทำงานสายงานโปรดักชั่น หรือผู้กำกับ โปรดิวเซอร์ ที่หวังชื่อเสียง และความร่ำรวยในระยะเวลาอันรวดเร็ว เนื่องจากทุกวันนี้ทุกอย่างขับเคลื่อนด้วยความเร็ว ทำให้สังคมทนไม่เป็นเย็นไม่ได้เสียส่วนมาก

“ควรพาตัวเองไปอยู่ใกล้คนที่เราอยากจะเป็น ต้องไปอยู่กับคนเก่ง ที่สำคัญอย่าเพิ่งคิดถึงเรื่องเงิน ใช่ค่ะ เงินสำคัญ ทุกคนอยากรวย สิ่งนี้ปฏิเสธไม่ได้ แต่ถ้าคุณรีบ คุณไม่เก่ง คุณสร้างตัวเองให้มีมูลค่าไม่ได้ ใครจะอยากจ้างคุณ ฉะนั้นทำตัวเองให้เก่งค่ะ พัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา”

“ในวันที่เราพร้อม เราเก่ง เราทำตัวให้เป็นทรัพย์สิน ก็จะมีคนเห็นความสามารถของเรา จะเป็นฝ่ายมาให้โอกาสเราเองด้วยซ้ำ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ใช่ให้คุณอยู่เฉยๆ ไม่ขวนขวายหาโอกาสอะไร ต้องทำควบคู่กัน และสุดท้ายความสำเร็จก็อยู่ไม่ไกลเลยค่ะ”