Red Velvet เผยเสน่ห์ใหม่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน สมฐานะ ‘ราชินีแห่งคอนเซ็ปต์’ ในอัลบั้มเต็มชุดที่ 3 ‘Chill Kill’
Red Velvet เผยเสน่ห์ใหม่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน สมฐานะ ‘ราชินีแห่งคอนเซ็ปต์’ ในอัลบั้มเต็มชุดที่ 3 ‘Chill Kill’ (ชิลล์ คิลล์) อัลบั้มที่ให้คุณสัมผัสถึงการเติบโตและปัจจุบันของ Red Velvet ในทุกด้าน และเป็นอัลบั้มเต็มในรอบ 6 ปี หลังจากอัลบั้มเต็มชุดที่ 2 ‘Perfect Velvet’ ในเดือนพฤศจิกายน 2560
ตลอดเวลาที่ผ่านมา Red Velvet สร้างความเซอร์ไพรส์ให้แฟนเพลงต้องตื่นเต้นกันอยู่เสมอ กับคอนเซ็ปต์และดนตรีที่มีเอกลักษณ์ในทุกอัลบั้มที่ปล่อยออกมา ซึ่งคอนเทนต์ต่าง ๆ ของอัลบั้มล่าสุด ‘Chill Kill’ ก็ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ตั้งแต่โปสเตอร์ตารางปล่อยคอนเทนต์ ที่มีคอนเซ็ปต์เป็นปฏิทินติดผนังอันคุ้นตา, ภาพทีเซอร์ ที่มีเสน่ห์แบบตรงข้ามกันของห้องโบราณและป่าอันมืดมิด, คลิปตัวอย่างแสดงอารมณ์ของแต่ละสมาชิก ไปจนถึงเทรลเลอร์ ที่กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นด้วยบรรยากาศอันน่าขนลุก ทำให้แฟนเพลงทั่วโลกต่างชื่นชม เกี่ยวกับอารมณ์อันเป็นเอกลักษณ์ และคอนเทนต์คุณภาพสูง ที่มีเพียง ‘ราชินีแห่งคอนเซ็ปต์’ Red Velvet เท่านั้นที่สามารถทำได้
‘Chill Kill’ เป็นชื่อที่ผสมผสานกันใหม่โดยมีความหมายว่า ‘เหตุการณ์หรือสิ่งที่ทำลายความเงียบ’ ซึ่งเพลงไตเติลของอัลบั้มนี้อย่าง ‘Chill Kill’ เป็นเพลงป๊อป แดนซ์ ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีเอกลักษณ์ จากการผสมผสานแบบไม่ธรรมดา โดยเน้นไปที่เสียงสังเคราะห์กับเสียงระฆังอันชวนฝันและอลังการ เนื้อเพลงบอกเล่าเรื่องราวความรักที่โลกอันสงบสุขของตัวเอง กลับต้องพลิกผันหลังจากการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของ ‘Chill Kill’ อีกทั้งจุดเด่นยังอยู่ตรง การมีสองด้าน คือ การโหยหาอีกฝ่าย และการร้องเพลงด้วยความหวัง แม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางโศกนาฏกรรมก็ตาม ดังนั้น ทุกคนจะได้พบกับดนตรีที่หลากหลายมากขึ้นของ Red Velvet ผ่านการแสดงเสียงร้องที่เปลี่ยนแปลงไปในรูปแบบต่าง ๆ ตามอารมณ์ของ ‘โศกนาฏกรรมอันสดใส’ ไม่เพียงเท่านี้ เพลงนี้ยังเป็นผลงานความร่วมมือกับนักสร้างเพลงฮิตอย่าง KENZIE และทีมโปรดิวซ์ Moonshine ที่ทำงานร่วมกับ Red velvet มานาน
สำหรับมิวสิกวิดีโอของเพลงไตเติล ‘Chill Kill’ ถ่ายทอดเรื่องราวของพี่สาวและน้องสาวที่ต้องเผชิญกับวิกฤติที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ด้วยการกำกับที่ตึงเครียดและการเล่าเรื่องที่น่าตื่นเต้น รวมถึงทักษะการแสดงและการแสดงที่เข้าถึงอารมณ์ของสมาชิก Red Velvet ที่รับบทเป็นพี่น้องที่มีบุคลิกแตกต่างกัน ด้านการแสดงของเพลงนี้ มาพร้อมกับคอนเซ็ปต์ ‘โศกนาฏกรรมอันสดใส’ โดยจะมีการผสมผสานอย่างลงตัว ระหว่างท่าเต้นหลากหลายแบบ ที่เปลี่ยนอารมณ์จากบรรยากาศอึมครึมเป็นบรรยากาศที่สดใส และท่าทางสำคัญ ๆ อย่างการทำมือที่ชวนให้นึกถึงชื่อเพลง ‘Chill Kill’ เพื่อเพิ่มความร้อนแรงให้กับเพลงมากขึ้น และแสดงให้เห็นถึงสีสันอันเป็นเอกลักษณ์ของ Red Velvet
นอกจากนี้ ในอัลบั้มเต็มชุดที่ 3 ‘Chill Kill’ ยังมีเพลงอีกหลากหลายแนวให้ผู้ฟังได้เพลิดเพลินกับเอกลักษณ์และคุณค่าที่แท้จริงของ Red Velvet อย่างเต็มที่ ได้แก่ เพลงแดนซ์ที่ชวนให้รู้สึกขนลุก ‘Knock Knock (Who’s There?)’, เพลงอาร์แอนด์บี จังหวะช้า ‘Underwater’, เพลงที่โดดเด่นด้วยเสียงซินธ์ดรอป ‘Will I Ever See You Again?’, เพลงอาร์แอนด์บี จังหวะปานกลาง ‘Nightmare’, เพลงอาร์แอนด์บี บัลลาด ‘Iced Coffee’, เพลงแดนซ์ที่น่าหลงใหล ‘One Kiss’, เพลงแดนซ์ที่มีท่อนฮุกติดหู ‘Bulldozer’, เพลงอาร์แอนด์บี จังหวะเร็ว ‘Wings’ และเพลงอะคูสติก บัลลาด ‘풍경화 (Scenery)’ รวมทั้งหมด 10 เพลง
หลังจากที่อัลบั้มเต็มชุดที่ 3 ‘Chill Kill’ ของ Red Velvet ปล่อยออกมาเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2566 แฟนเพลงต่างให้การตอบรับอย่างถล่มทลาย ทั้งครองอันดับ 1 บนชาร์ต iTunes Top Albums ใน 35 ประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย, อันดับ 1 บนชาร์ตเพลงดิจิทัลหลักในประเทศเกาหลีใต้, อัลบั้มได้รับสถานะ ‘Platinum Album’ จากการมียอดจำหน่ายทะลุ 1 ล้านหยวนบน QQ Music ประเทศจีน, อันดับ 1 บนชาร์ต Digital Album Sales ของ QQ Music และ KuGou Music, อันดับ 1 บนชาร์ต Real-time rising ของ AWA ประเทศญี่ปุ่น ฯลฯ
