SHARE

คัดลอกแล้ว

หลายปีมานี้เรามักได้ยินไอเดียเรื่องเกษียณอายุตั้งแต่วัยกลางคน บ้างก็วางแผนทำงานเก็บเงินเพื่อจะใช้ชีวิตเกษียณสำราญกันตั้งแต่อายุ 40 ต้นๆ เป็นความฝันของใครหลายคนที่ไม่ต้องการพาตัวเองออกจากบ้านไปทำงานจนอายุล่วงเลยไปถึง 60 ปี 

แต่ด้วยสภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ลงเรื่อยๆ รายจ่ายมากกว่ารายรับ เงินเฟ้อที่ไต่ระดับทำ New High อย่างไม่หยุดยั้ง ทำให้การเกษียณอายุงานในวัย 60 ปี ยังนับว่า เร็วเกินกว่าจะทันตั้งตัวด้วยซ้ำไป บวกกับอายุขัยเฉลี่ยของมนุษย์ที่ยืนยาวขึ้น การเกษียณอายุในวัย 65 ปี จึงกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของหลายประเทศทั่วโลกในขณะนี้ วิวัฒนาการทางการแพทย์ทำให้อายุ 65 ไม่ใช่ผู้สูงอายุที่ไร้เรี่ยวแรงอย่างที่เราเคยเข้าใจกันในอดีตอีกต่อไป

อย่างไรก็ตาม มีข้อถกเถียงใหม่เกิดขึ้นไม่นานมานี้ว่า เกษียณในวัย 65 ปี ก็ยังไม่เพียงพอเมื่อเทียบเคียงกับภาระทางการเงิน เกษียณอายุงานในวัย 75 ปี อาจเป็นคำตอบที่ดีที่สุด เพราะแม้แต่คนรุ่นเบบี้บูมเมอร์ที่เติบโตมาในยุคมั่งคั่ง เอื้อมถึงการถือครองสินทรัพย์ได้ง่ายกว่าคน Gen Y หรือ Gen Z กลับพบว่า พวกเขาไม่มีความพร้อมทางการเงิน ไร้เงินออม มองว่า หนทางที่จะทำให้ใช้ชีวิตต่อไปได้ คือต้องทำงานไปจนตายเท่านั้น

[ เกษียณวัย 60 เป็นแค่ฝัน ประกันสังคมพึ่งไม่ได้ ต้องทำงานไปอีกนาน ]

เดือนมีนาคม 2567 ‘แลร์รี ฟิงค์’ (Larry Fink) ซีอีโอกองทุน BlackRock ออกจดหมายประจำปีถึงนักลงทุนบริษัท โดยมีเนื้อความระบุถึงคนทำงานที่หวังจะเกษียณอายุได้อย่างสะดวกสบาย และมีความมั่นคงทางการเงินเมื่อเดินทางถึงวัย 60 ปี

‘ฟิงค์’ ให้ความเห็นว่า เป็นไปไม่ได้เลยที่จะคนส่วนใหญ่ในสังคมจะเกษียณในวัย 60 ปี หรือแม้กระทั่ง 65 ปี เมื่ออายุขัยเฉลี่ยของผู้คนสูงขึ้น ‘Safety Net’ ที่ทุกคนหวังพึ่งอย่างประกันสังคมจะไม่สามารถครอบคลุมความเป็นอยู่ของวัยเกษียณได้ทั้งหมด บวกกับค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามสภาวะเงินเฟ้อ ข้อเสนอนี้เกิดขึ้นจริงได้ยากมาก ทั้งในปัจจุบันและอีก 30 ปีข้างหน้า แผนการเกษียณในวัย 65 ปีนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

รายงานจากสำนักข่าว BBC คาดการณ์ว่า ตั้งแต่ปี 2000 ถึงปี 2019 อายุขัยเฉลี่ยทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นจาก 67 ปี เป็น 73 ปี และภายในปี 2050 องค์การสหประชาชาติ หรือ ‘UN’ คาดการณ์ว่า 1 ใน 6 ของประชากรทั่วโลกจะมีอายุ 65 ปีขึ้นไป เมื่อผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น แรงงานในระบบก็จะน้อยลงตามไปด้วย บีบีซีระบุว่า ‘อังกฤษ’ อาจเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุภายในปี 2029 หรืออีก 5 ปีข้างหน้า ‘บราซิล’ ภายในปี 2035 ‘อินเดีย’ ภายในปี 2048 และสหรัฐอเมริกาอาจเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุภายในปี 2053

‘รีเบคกา เซียร์’ (Rebecca Sear) ศาสตราจารย์ด้านประชากรและสุขภาพ จาก London School of Hygiene and Tropical Medicine ให้ข้อมูลว่า อันที่จริงแล้วอายุขัยเฉลี่ยมนุษย์เริ่มปรับตัวสูงขึ้นนับตั้งแต่ทศวรรษ 1850 เป็นต้นมา แต่ในขณะเดียวกันกลับพบว่า เพดานอายุเกษียณไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก ข้อสังเกตนี้จึงนำไปสู่คำถามสำคัญที่ว่า เมื่อภาพรวมด้านสุขภาพและประชากรเปลี่ยนแปลง การเกษียณอายุในวัย 65 ปี ยังเป็นตัวเลขที่สมเหตุสมผลหรือไม่

สอดคล้องกับรายงานจาก Business Insider ที่ระบุว่า ปี 2024 คือปีแห่งการเกษียณ-ออกจากตลาดแรงงานของกลุ่ม ‘Peak-boomer’ แทนที่จะได้พักผ่อน กลับพบว่า บูมเมอร์กลุ่มนี้ยังไม่พร้อมสำหรับการเกษียณอายุ พวกเขาไร้เงินออม หวังพึ่งเงินจากกองทุนประกันสังคมอันน้อยนิดเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิต บางคนให้ความเห็นด้วยว่า ต้องทำงานไปจนตาย จึงจะมีชีวิตรอดต่อไปแบบไม่ต้องกลายเป็น ‘Homeless’ ในบั้นปลายชีวิต

[ ลงทุนตั้งแต่อายุยังน้อย อย่าเกษียณก่อน 65 คือทางรอด ]

ในสหรัฐอเมริกาพบว่า หลายโครงการของรัฐบาลยังคงยึดมาตรฐานตัวเลขที่ห่างไกลจากเกณฑ์อายุเกษียณ อาทิ โครงการ ‘Medicare’ หรือประกันสุขภาพจากรัฐบาลกลางที่ให้บริการเฉพาะผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไปเท่านั้น เว้นแต่ผู้พิการที่สามารถเข้ารับการรักษาภายใต้ข้อยกเว้นเรื่องอายุ หรือการได้รับสิทธิเงินประกันสังคมเต็มรูปแบบ ก็ต้องเป็นชาวอเมริกันที่มีอายุ 67 ปีขึ้นไป ฉะนั้น ความฝันในการเกษียณอายุงานตั้งแต่ 60 ปี จึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

การขาด ‘Safety Net’ ทำให้คนทำงานต้องอยู่ในระบบแม้จะมีอายุมากกว่า 65 ปี เพื่อเก็บเงินออมให้เพียงพอต่อการเกษียณ และใช้ชีวิตในอีกหลายสิบปีข้างหน้าให้ได้ สำหรับคนทำงานในสหรัฐอเมริกา ตัวเลขจาก Northwestern Mutual บริษัทประกันภัย ระบุถึง ‘Magic Number’ ที่ผู้คนเชื่อว่า เพียงพอต่อการใช้ชีวิตหลังเกษียณสูงถึง 1.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือตีเป็นเงินไทยประมาณ 47 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่คนส่วนใหญ่ไม่สามารถสั่งสมได้ก่อนอายุ 60 ปี และเงินบำนาญที่หวังพึ่งจากรัฐบาลก็ไม่สามารถให้ได้เช่นกัน

ในมุมมองของ ‘ฟิงค์’ แห่ง BlackRock เขาเสนอว่า คนยุคนี้ต้องเอาจริงเอาจังกับการลงทุนมากขึ้น เริ่มลงทุนเชิงรุกตั้งแต่อายุยังน้อย และแนะนำให้ทำงานไปเรื่อยๆ แม้จะมีอายุ 65 ปีแล้วก็ตาม ขณะนี้บางประเทศเริ่มออกมายืดอายุเกษียณออกไปแล้ว จาก 65 ปี เป็น 66 หรือ 67 ปี และภายในปี 2044 อาจได้เห็นบางประเทศยืดเพดานเกษียณออกไปเป็น 68 ปี

แล้วคุณล่ะ วางแผนเกษียณอายุงานไว้เท่าไร มีตาข่ายรองรับความปลอดภัยทางการเงินไว้เพียงพอแล้วหรือยัง?

ที่มา : bbcbusinessinsider

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า