“บทเห่เรือ” เป็นคำประพันธ์ซึ่งใช้สำหรับเห่เรือพระที่นั่ง เดิมบทเห่เรือใช้สำหรับเห่เรือในการเสด็จประพาสเป็นการลำลอง บทเห่เรือแต่งด้วยคำประพันธ์ประเภทโคลง ๔ สุภาพนำ ๑ บท จากนั้นจึงเป็นกาพย์ยานี ๑๑
บทเห่เรือที่ปรากฏในปัจจุบันมีหลายสำนวน สำนวนที่เก่าที่สุดคือ บทเห่เรือพระนิพนธ์เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร [ทำ-มะ-ทิ-เบด] ซึ่งทรงพระนิพนธ์ไว้หลายบท ได้แก่
บทเห่ชมกระบวนเรือ บทเห่ชมปลา บทเห่ชมนก บทเห่สังวาส และบทเห่เรื่องกากี
ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงพระราชนิพนธ์บทเห่ชมเครื่องคาวหวาน เพื่อใช้เห่เรือเป็นการส่วนพระองค์
ต่อมาสมัยรัชกาลที่ ๔ มีการนำบทเห่เรือพระนิพนธ์เจ้าฟ้าธรรมธิเบศรมาใช้เห่เรือหลวง นอกจากนี้ยังมีการแต่งบทเห่เรือขึ้นอีกหลายบท เช่น บทเห่เรือพระราชนิพนธ์รัชกาลที่ ๖
บทเห่เรือพระนิพนธ์กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ [กฺรม-มะ-หมื่น-พิด-ทะ-ยา-ลง-กอน]
สำหรับกาพย์เห่เรือเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เสด็จเลียบพระนคร โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค วันที่ ๑๒ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒ ได้ประพันธ์ขึ้นใหม่ จำนวน ๓ องก์ โดย นาวาเอกทองย้อย แสงสินชัย ศิลปินแห่งชาติ
ส่วน นาวาเอกณัฏวัฒน์ อร่ามเกลื้อ เป็นผู้เห่เรือ สำหรับเครื่องแต่งกายฝีพายยึดถือรูปแบบเดิมตามโบราณราชประเพณี
บทที่ ๑ สรรเสริญพระบารมี
บทที่ ๒ ชมเรือ
บทที่ ๓ ชมเมือง
——————-
บทที่ ๑ สรรเสริญพระบารมี
๏ พระ-ไตรรัตนะแผ้ว…….เผด็จมาร
บรม-ทิพย์โสฬสสถาน…..เทพถ้วน
ราชา-ธิราชบุราณ………..บุรพกษัตริย์
ภิเษก-เสกสรรพพรล้วน…หลั่งฟ้ามาถวาย๚ะ๛
๑-๏ พระเอย พระผ่านฟ้า…พระบุญญาพระบารมี
สืบทรงวงศ์จักรี…ให้เปรมปรีดิ์ทุกปวงชน
๒-๏ ดั่งรุ่งอรุณเริ่ม…แสงสุขเสริมสืบนุสนธิ์
สว่างสร่างกังวล…ผุดผ่องพ้นผ่านผองภัย
๓-๏ พระเอย พระผ่านเผ้า…ที่โศกเศร้าค่อยสดใส
คนท้อขอถอดใจ…ค่อยฟื้นไข้ขึ้นครามครัน
๔-๏ ทรงธรรมปานน้ำทิพย์…เทพไทหยิบหยาดสวรรค์
ชุ่มชื่นชุบชีวัน…เป็นมิ่งขวัญแห่งชีวา
๕-๏ พระเอย พระผ่านพิภพ…สุขสงบงามสง่า
ปานเพชรเก็จก่องนภา…ประดับฟ้าประดับไทย
๖-๏ เดชะพระบารมี…วงศ์จักรีจึงเกริกไกร
ทวีโชคทวีชัย…ทวีสุขทุกวารวัน
๗-๏ พระเอย พระผ่านเมือง…ไทยประเทืองประทับขวัญ
ปวงบุญแต่ปางบรรพ์…พระทรงธรรม์จึงทรงไทย
๘-๏ ทรงศีลทั้งทรงสัตย์…จึงทรงฉัตรจึงทรงชัย
บัวบุญจึงเบ่งใบ…อุบลบานบนธารธรรม
๙-๏ พระเอย พระผ่านเกล้า…ทุกค่ำเช้าไทยชื่นฉ่ำ
พระมหากรุณานำ…คือน้ำทิพย์ลิบโลมดิน
๑๐-๏ พระทศมินทร์ปานปิ่นเพชร…จึงสำเร็จเด็จไพรินทร์
ฟื้นฟ้าฟื้นธานินทร์…จงภิญโญยิ่งโอฬาร
๑๑-๏ พระเอย พระผ่านฟ้า…พระเดชาจงฉายฉาน
แม้นมีมวลหมู่มาร…จุ่งมอดม้วยด้วยพระบารมี
๑๒-๏ หมู่มิตรจงมั่นคง…น้ำจิตตรงเต็มไมตรี
ไพร่ฟ้าประชาชี…สามัคคีอยู่มั่นคง
๑๓-๏ เดชะพระไตรรัตน์…ทั้งศีลสัตย์สร้างเสริมส่ง
พระบารมีจักรีวงศ์…ทุกพระองค์เป็นธงชัย
๑๔-๏ แรงรักแห่งทวยราษฎร์…หลอมรวมชาติสืบศาสน์สมัย
ร้อยถ้อยร้อยดวงใจ…ถวายไท้องค์ทศมินทร์
๑๕-๏ ขอจงทรงพระเกษม…เอิบอิ่มเอมดั่งองค์อินทร์
พระกมลหมดมลทิน…ผ่องโสภินดั่งเพชรพราย
๑๖-๏ ปรารถนาสารพัด…สมพระมนัสที่ทรงหมาย
สุขทวีมิมีวาย…พระบรมวงศ์ทรงพร้อมเพรียง
๑๗-๏ พระบารมีที่ทรงสร้าง…ไป่โรยร้างรุ่งเรืองเรียง
บำรุงรัฐวัดวังเวียง…จักรีวงศ์ทรงพระเจริญ-เทอญ๚ะ๛
——————-
บทที่ ๒ ชมเรือ
๏ ลอยลำงามสง่าแม้น…….มณีสวรรค์
หยาดโพยมเพียงหยัน…….ยั่วฟ้า
เหมราชผาดผายผัน……….โผนเผ่น นภาฤๅ
พายพะแพรวพรายถ้า……..ถี่พร้อมผันผยอง๚ะ๛
๑-๏ เรือเอยเรือพระที่นั่ง..งามสะพรั่งเพียงหยาดสวรรค์
พิศองค์หงส์สุวรรณ..เพียงผันผยองล่องลอยโพยม
๒-๏ หยาดฟ้ามารองบาท..งามผุดผาดพิลาสโฉม
ฝีมือลือโลกโลม..หล้าเลื่องลิบปานทิพย์ทำ
๓-๏ นารายณ์ลงลอยล่อง..งามผุดผ่องล่องลอยลำ
นาคราชผาดโผนนำ..ภุชงค์ล้ำเผ่นโผนลอย
๔-๏ กระบี่ศรีสง่า…งามท่วงท่าไม่ท้อถอย
เรือครุฑไม่หยุดคอย…ยุดนาคคล้อยลอยเมฆินทร์
๕-๏ อสูรวายุภักษ์…ศักดิ์ศรีคู่อสูรปักษิน
พายผกเพียงนกบิน…ผินสู่ฟ้าร่าเริงบน
๖-๏ เรือแซงแข่งเรือดั้ง…พร้อมสะพรั่งกลางสายชล
เรือชัยไฉไลล้น…ยลเรือกิ่งพริ้งเพราตา
๗-๏ ยักษ์ลิงกลิ้งกลอกกาย…แลลวดลายล้วนเลขา
รูปสัตว์หยัดกายา…พาโผนเผ่นเป็นทิวแถว
๘-๏ เรือน้อยลอยน้ำไหล…ล้อมเรือใหญ่ไหววับแวว
พร่างพราวราวเพชรแพรว…พายพลิ้วกวักพรักพร้อมพาย
๙-๏ งามริ้วทิวทางแถว…ธงเพริศแพร้วแผ่วปลิวปลาย
งามเรือเหลือลวดลาย…คล้ายเทพทิพย์หยิบลายผจง
๑๐-๏ อาภรณ์ผ้าแพรพรรณ…สวยสีสรรสวมทรวดทรง
พลพายพายเรือลง…ทิวธงถ้วนล้วนเฉิดฉัน
๑๑-๏ เสนาะศัพท์ขับเพลงเห่…เสียงเสน่ห์น้ำสนั่น
เพลงทิพย์ไป่เทียมทัน…กลั่นจากทรวงปวงนาวี
๑๒-๏ ศิลปกรรมล้ำเลิศเหลือ…ลวดลายเรือล้วนโสภี
ท่อนไม้ไร้ชีวี…มีชีวิตคิดเหมือนเป็น
๑๓-๏ นาวาสถาปัตย์…ช่างเชี่ยวชัดชาญเชิงเช่น
ยิ่งยลยิ่งเยือกเย็น…เห็นสายศิลป์วิญญาณไทย
๑๔-๏ สมบูรณ์สมบัติชาติ…ควรประกาศเกียรติเกริกไกร
ฝีมือลือเลิศใคร…ไม่เทียบเทียมเยี่ยมนิยม
๑๕-๏ ควรสืบควรรักษา…ควรคู่ค่าควรเมืองสม
ควรเชิดควรชื่นชม…ควรภูมิใจไทยทั้งมวล
๑๖-๏ แม้นสิ้นจากถิ่นไทย…ห่อนเห็นใครมาคู่ควร
แบบบทหมดกระบวน…ล้วนเลิศแล้วแพรวพริ้งพราย
๑๗-๏ ขวัญเอยเป็นขวัญเนตร…ศิลป์พิเศษยังสืบสาย
ลูกหลานวานอย่าวาย…อย่าดูดายศรีแผ่นดิน
๑๘-๏ ฝากโลกให้รู้จัก…ฝากศรีศักดิ์วิญญาณศิลป์
ฝากนามสยามินทร์…ฝากฝีมือชื่อไทยเอย๚ะ๛
——————-
บทที่ ๓ ชมเมือง
๏ เจ้าพระยาสง่าเพี้ยง…..ธารสวรรค์
กรุงเทพเทพนครทัน…….ถิ่นฟ้า
ใจไทยย่อมหฤหรรษ์…….หอมทิพย์ ธรรมแฮ
ตราบเมื่อนี้เมื่อหน้า………เมื่อโน้นนิรันดร์เกษม๚ะ๛
๑-๏ เจ้าเอย เจ้าพระยา…ถั่งธารามานานไกล
เอิบอาบกำซาบใจ…หล่อเลี้ยงไทยเลื่องลือนาม
๒-๏ เป็นถิ่นแห่งศีลธรรม…รุ่งเรืองล้ำร่มอาราม
โลกร้อนไฟลุกลาม…แดนสยามยังร่มเย็น
๓-๏ ดินแดนแห่งกาสาว์…คือสมญาโลกย่อมเห็น
ศีลธรรมที่บำเพ็ญ…ช่วยดับเข็ญได้ทุกครา
๔-๏ พระแก้วอยู่เหนือเกล้า…ทุกค่ำเช้าเฝ้าบูชา
ศีลทานสานศรัทธา…เปรมปรีดาด้วยความดี
๕-๏ บัวบุญจึงเบ่งบาน…อบดวงมานหอมหวานทวี
รอยยิ้มอิ่มอารี…เติมไมตรีเต็มหัวใจ
๖-๏ ความรู้อาจไม่หลาก…แต่ความรักไม่รองใคร
น้ำจริงมากเพียงไหน…แพ้น้ำใจที่ไหลแรง
๗-๏ แสงเทียนทุกยามค่ำ…คือแสงธรรมยังทอแสง
เดือนปีอาจเปลี่ยนแปลง…แต่รักแรงไม่เปลี่ยนไป
๘-๏ บ้านเรือนไม่หรูหรา…แต่สูงค่าปัญญาไทย
หนทางอาจห่างไกล…แต่หัวใจใกล้ชิดกัน
๙-๏ น้ำใจไม่เคยจืด…อยู่ยาวยืดยิ้มยืนยัน
ต่างเพศต่างผิวพรรณ…แต่ใจนั้นไม่ต่างใจ
๑๐-๏ ภักดีจักรีวงศ์…ทุกพระองค์คือธงชัย
ร้อยรักร้อยใจไทย…ร้อยดวงใจจอมจักรี
๑๑-๏ ราชันขวัญสยาม…ปิ่นเพชรงามปักธานี
ร่มพระบารมี…ศรีไผทฉัตรชัยชน
๑๒-๏ ไตรรงค์ธงชัยโชค…ลอยอวดโลกโบกลมบน
ขวัญฟ้าขวัญตายล…ขวัญกมลมงคลชัย
๑๓-๏ กรุงเทพคือกรุงธรรม…งามเลิศล้ำด้วยน้ำใจ
งามนอกไม่หลอกใคร…พร้อมงามในจริงใจครัน
๑๔-๏ สยามจึงงามพร้อม…หัวใจหอมไม่หุนหัน
เกลียดใครไม่นานวัน…แต่รักนั้นนานไม่วาง
๑๕-๏ ขัดแย้งแต่ไม่แยก…แม้ต่างแตกไม่แตกต่าง
เจียมใจไว้ไม่จาง…คุณใครสร้างค้างใจจำ
๑๖-๏ เมืองไทยคือเมืองทอง…ขอพี่น้องครองรักนำ
ถ้าไทยไม่ทิ้งธรรม…ไทยสุขล้ำฉ่ำชื่นไทย
๑๗-๏ เมื่อนี้ตราบเมื่อหน้า…คงคู่หล้าฟ้าดินกษัย
เกษมสุขสิ้นทุกข์ภัย…ชมชื่อไทยไป่สิ้นเทอญ.
————
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒