KKP Research โดยเกียรตินาคินภัทร ประเมินสงครามรัสเซีย-ยูเครน ถ้ายืดเยื้ออาจส่งผลให้ไทยเจอเงินเฟ้อหนักสุดในรอบ 14 ปี
ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะจบ กำลังกลายเป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย
อย่างที่หลายคนติดตามข่าว ตั้งแต่รัสเซียรุกรานยูเครน หลายประเทศตะวันตกตอบโต้รัสเซียด้วยมาตรการคว่ำบาตร
ซึ่งเบื้องต้นมุ่งไปที่การยึดอายัดทรัพย์สินของคนที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลรัสเซีย, อายัดทรัพย์สินของธนาคารบางแห่ง, ตัดสิทธิการซื้อขายตราสารหนี้ของธนาคารดังกล่าวในตลาดการเงินสหรัฐฯ และยุโรป
มาตรการคว่ำบาตรยังรวมไปถึงการตัดธนาคารบางแห่งออกจากระบบ SWIFT และตัดธนาคารกลางของรัสเซียไม่ให้ทำธุรกรรมสกุลเงินดอลลาร์
การคว่ำบาตรเหล่านั้นทำให้ค่าเงินรูเบิลอ่อนค่าอย่างรุนแรง และจะทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยและอาจเจอความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อและการผิดนัดชำระหนี้
แต่ถึงอย่างนั้น มาตรการเหล่านี้อาจยังไม่พอที่จะทำให้รัสเซียหยุดรุกราน เพราะเศรษฐกิจประเทศตะวันตกต้องพึ่งพาพลังงานจากรัสเซียอย่างมาก
ซึ่ง KKP Research มองว่า ถ้าจะคว่ำบาตรรัสเซียเพิ่มเติม ก็มีความเป็นไปได้ที่ประเทศตะวันตกจะนำมาตรการคว่ำบาตรทางพลังงานมาใช้
โดยตอนนี้ สหรัฐอเมริกาและอังกฤษก็ประกาศแบนน้ำมันจากรัสเซียเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ถามว่าการคว่ำบาตรทางพลังงานจะส่งผลอย่างไร?
หลักๆ เลยคือทำให้ราคาพลังงานทั้งในยุโรปและโลกเพิ่มสูงขึ้นมาก หากรัสเซียตัดสินใจตอบโต้ด้วยการลดอุปทานของน้ำมันดิบและแก๊สธรรมชาติ
Bank of America ประเมินว่า ทุกๆ 1 ล้านบาร์เรลต่อวันที่หายไป อาจทำให้ราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 20 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ดังนั้น ถ้าหากน้ำมันดิบจากรัสเซียถูดตัดขาดจากตลาดโลก อาจทำให้ราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจาก 100 ดอลลาร์เป็น 200 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
และนั่นก็จะกระทบเศรษฐกิจโลกค่อนข้างรุนแรงจาก ทั้งปัจจัยด้านราคา และอาจเกิดภาวะขาดแคลนวัตถุดิบในระยะสั้น กระทบภาคการผลิตที่อาจหยุดชะงัก
แล้วไทยกระทบไหม?
KKP Research ประเมินว่าสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนจะมีแนวโน้มทำให้เศรษฐกิจไทยชะลอตัวลง ส่วนอัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้นแรงที่สุดในรอบมากกว่า 10 ปี
โดยผลกระทบจากสงครามจะกระทบเศรษฐกิจไทยใน 3 ช่องทางหลัก คือ
1.การส่งออกของไทยอาจขยายตัวได้น้อยกว่าที่ประเมินไว้
แม้ไทยจะส่งออกไปรัสเซียและยูเครนในสัดส่วนที่น้อยมาก คือ รวมกันประมาณ 0.7% ของการส่งออกทั้งหมด
แต่การส่งออกไปยังยุโรปที่มีสัดส่วนกว่า 10% จะได้รับผลกระทบหากเศรษฐกิจยุโรปชะลอตัว
นอกจากนี้ ผลกระทบที่น่ากังวลมากที่สุดจะเกิดจากปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบ จากการหยุดชะงักของการค้าระหว่างไทยกับรัสเซียและยูเครน
ส่งผลให้บางภาคการผลิตต้องหยุดกิจการ โดยกลุ่มสินค้านำเข้าหลัก ได้แก่ ปุ๋ยเคมีและธัญพืช
2.อัตราเงินเฟ้อในปี 2022 อาจปรับตัวสูงขึ้นเกิน 4% ตามราคาน้ำมันดิบโลกที่ปรับสูงขึ้นจากความขัดแย้งครั้งนี้
KKP Research ประเมินว่า ในช่วงที่เหลือของปี ราคาน้ำมันดิบจะสูงเกิน 110 ดอลลาร์สหรัฐ บนสมมติฐานที่ว่าประเทศตะวันตกจะมีการลดการนำเข้าสินค้าโภคภัณฑ์จากรัสเซียลงบางส่วน
และคาดว่ายังมีโอกาสที่ราคาน้ำมันเฉลี่ยจะสูงเกิน 130 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเรล ในสถานการณ์ที่สงครามมีความรุนแรงและยืดเยื้อกว่าคาด
ยิ่งเมื่อนับรวมกับปัญหาราคาอาหารสดและอาหารนอกบ้านที่แพงขึ้นก่อนหน้านี้ จะทำให้เงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปี 2022 ของไทยสูงขึ้นเกิน 4%
เป็นตัวเลขที่สูงที่สุดตั้งแต่ปี 2008 หรือสูงที่สุดในรอบ 14 ปี และจะส่งผลกลับมากระทบการบริโภคให้ชะลอตัวลง
3.นักท่องเที่ยวอาจเดินทางมาน้อยกว่าที่ประเมินไว้ เกิดจากนักท่องเที่ยวรัสเซียที่จะเดินทางมาได้น้อยลง
โดยในช่วงที่ต้นปี 2022 นักท่องเที่ยวรัสเซียเป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาไทยมากที่สุด คิดเป็นประมาณเกือบ 10% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด
ยิ่งไปกว่านั้น ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นจะเพิ่มต้นทุนการเดินทางระหว่างประเทศ และทำให้อุปสงค์ต่อการท่องเที่ยวลดลงด้วย
ผลกระทบทางอ้อมที่จะเกิดขึ้นต่อเนื่อง คือ ดุลบัญชีเดินสะพัดที่มีโอกาสขาดดุลอีกครั้งในปีนี้
จากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น และไทยนำเข้าน้ำมันในสัดส่วนสูง รวมถึงนักท่องเที่ยวที่จะกลับมาได้น้อยกว่าที่คาดไว้ ก็ทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดมีโอกาสขาดดุลเพิ่มเติมนั่นเอง
แต่ถึงอย่างนั้น สงครามระหว่างรัสเซีย – ยูเครน ยังมีหลายทางออกที่เป็นไปได้
ซึ่ง KKP Research ประเมินว่าในปัจจุบัน มีความเสี่ยงค่อนข้างสูงที่สถานการณ์จะเข้าสู่กรณีที่สร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและไทยได้
และเหตุการณ์นี้นับเป็นอีกหนึ่งแรงกดดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่เข้าสู่ภาวะ Stagflation อย่างชัดเจนเช่นเดียวกับที่เคยประเมินไว้ก่อนหน้านี้