นายทหารระดับสูงของสหรัฐฯ ประเมิน รัสเซียอาจเสียกำลังพลในสงครามไปแล้วมากกว่า 1 แสนนาย เป็นเหตุให้กองทัพอ่อนแอจนต้องตัดสินใจถอนทหารจากสมรภูมิสำคัญในเมืองเคอร์สัน ชี้สถานการณ์ที่เลวร้ายลงในฤดูหนาว อาจเป็นโอกาสให้มอสโกหันมาเจรจาสันติภาพกับยูเครน
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า พลเอก มาร์ก มิลลีย์ ประธานคณะเสนาธิการร่วมของสหรัฐฯ เปิดเผยในวงเสวนา The Economic Club of New York เมื่อวันพุธ (9 พ.ย.) ว่า มีความเป็นไปได้ที่ทหารรัสเซียเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บในสงครามยูเครนมากกว่า 100,000 นาย ตลอดระยะเวลา 9 เดือนที่ผ่านมา ขณะที่พลเรือนยูเครนต้องสังเวยชีวิตให้กับสงครามไปมากกว่า 40,000 คน
การเปิดเผยดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่กระทรวงกลาโหมรัสเซียออกมาประกาศ สั่งถอนทหารจากเมืองเคอร์สัน สมรภูมิยุทธศาสตร์สำคัญทางตอนใต้ของยูเครน โดยยอมรับว่าเป็นการตัดสินใจยากที่ปรับแผน แต่ถ้าจะส่งทหารสู้ต่อในพื้นที่อาจไร้ประโยชน์
การถอนทหารออกจากเมืองเคอร์สันได้ถูกมองว่า สะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนแอในการสู้รบของกองทัพรัสเซีย ซึ่งพลเอกมิลลีย์ชี้ว่า ตัวเลขความสูญเสียที่ปรากฏออกมาน่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้รัสเซียตัดสินใจดำเนินการเช่นนี้ และทางตันจากอุปสรรคที่อาจจะเกิดขึ้นในการสู้รบช่วงฤดูหนาว ก็อาจเป็นโอกาสที่ทำให้ทั้งสองประเทศหันมาเจรจาสันติภาพร่วมกัน
อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายยังคงไม่ปักใจเชื่อว่าการถอนทหารออกจากเมืองเคอร์สันเป็นเพราะความอ่อนแอของกองทัพรัสเซีย หรือแม้แต่การส่งสัญญาณล่าถอย โดยนักวิเคราะห์บางรายได้ตั้งข้อสังเกตว่า นี่อาจเป็นเพียงการซื้อเวลาของรัสเซีย เพื่อปรับกลยุทธ์การเดินทัพใหม่สำหรับช่วงฤดูใบไม้ผลิที่กำลังจะมาถึง
พลเอกมิลลีย์อธิบายถึงข้อสังเกตดังกล่าวว่า “สิ่งที่ชี้วัดได้ในตอนนี้ก็คือ รัสเซียกำลังดำเนินการเช่นนั้นอยู่จริงๆ พวกเขาออกมาประกาศต่อสาธารณชนอย่างชัดเจน และผมก็คิดว่าเขาต้องทำเพื่อรักษากำลังพลเอาไว้สำหรับการสร้างแนวป้องกันขึ้นใหม่ทางตอนใต้ของแม่น้ำนีเปอร์ (Dnieper) ซึ่งเราต้องรอดูกันต่อไป”
พลเอกมิลลีย์ระบุว่า รัสเซียอาจต้องใช้เวลานานหลายสัปดาห์ในการย้ายกองกำลังไปทางใต้ โดยคาดว่าตอนนี้น่าจะมีทหารรัสเซียอยู่เมืองเคอร์สันราว 20,000-30,000 นาย และช่วงเวลานี้ก็อาจจะเป็นโอกาสผลักดันให้มีการเจรจาสันติภาพเกิดขึ้นอีกครั้ง
ส่วนเรื่องของการล่าถอยเพื่อปรับกลยุทธ์ไว้เตรียมการเดินทัพในช่วงฤดูใบไม้ผลินั้น พลเอกมิลลีย์กล่าวว่า เขาคิดว่ามีความเป็นไปได้ ขณะเดียวกันเขาก็ยอมรับว่าการเจรจาสันติภาพอาจจะไม่สามารถเกิดขึ้นง่ายๆ แต่หากทั้งรัสเซียและยูเครนยอมรับร่วมกันได้ว่า ชัยชนะทางทหารอาจไม่ได้มาจากการสู้รบเพียงอย่างเดียว และพวกเขายอมที่จะหันไปหาวิธีการอื่นๆ เมื่อนั้นก็อาจมีโอกาสที่การเจรจาจะบรรลุผลสำเร็จ ดังที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1
ที่มา AP, Reuters, Business Insider