SHARE

คัดลอกแล้ว

เมื่อเทคโนโลยียุโรป โผล่ในสนามรบเมียนมา บทพิสูจน์สำคัญ ‘คว่ำบาตร’ ยังหยุดสงครามได้จริงหรือ?

‘การคว่ำบาตร’ (sanctions) เคยถูกยกให้เป็นเครื่องมือทางการทูตที่ทรงพลังที่สุดของประชาคมโลก ในการรับมือกับรัฐเผด็จการหรือรัฐบาลที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยไม่ต้องใช้กำลังทหารหรือก่อสงคราม

มาตรการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การแช่แข็งทรัพย์สิน ห้ามทำธุรกรรม จำกัดการส่งออก ตัดสิทธิ์การเข้าถึงเทคโนโลยี หรือแม้แต่การตัดออกจากระบบการเงินโลก ล้วนถูกออกแบบมาเพื่อสร้าง ‘แรงกดดัน’ ให้ผู้นำประเทศเปลี่ยนพฤติกรรม หรือกลับเข้าสู่ความร่วมมือกับประชาคมระหว่างประเทศ

กรณีที่เห็นชัดเจน เช่น รัสเซียที่ถูกตัดออกจากระบบ SWIFT หลังรุกรานยูเครน, เกาหลีเหนือ ต้องเผชิญมาตรการคว่ำบาตรจากยูเอ็นต่อเนื่องนานนับสิบปี หรืออิหร่านที่ถูกจำกัดการส่งออกน้ำมันเนื่องจากโครงการพัฒนานิวเคลียร์

ขยับเข้ามาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศเพื่อนบ้านของไทยอย่าง ‘เมียนมา’ ก็เผชิญกับการคว่ำบาตรจากสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปมาตั้งแต่รัฐประหารปี 2564 ทั้งในรูปแบบการห้ามทำธุรกรรมกับบริษัทที่เกี่ยวข้องกับกองทัพ การอายัดทรัพย์สินของผู้นำระดับสูง ไปจนถึงการจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีที่อาจถูกนำไปใช้ในการปราบปรามประชาชนและฝ่ายต่อต้าน โดยมีเป้าหมายเพื่อกดดันให้เปิดทางสู่สันติภาพ

[เทคโนโลยียุโรป โผล่ในอาวุธเมียนมา] 

แม้จะถูกคว่ำบาตรอย่างเข้มงวดจากชาติตะวันตก แต่กลับมีข้อมูลน่ากังวลจาก Conflict Armament Research (CAR) ซึ่งเป็นองค์กรศึกษาและติดตามเส้นทางอาวุธในพื้นที่ขัดแย้ง ไปพบว่า โดรนที่กองทัพเมียนมาใช้ในการโจมตีทางอากาศในรัฐกะยาและรัฐฉิ่น ใช้เทคโนโลยีป้องกันการรบกวนสัญญาณ (anti-jamming) ของบริษัทในยุโรป 

คำถามที่ตามมาคือ ในเมื่อเมียนมาถูกสหภาพยุโรปคว่ำบาตร ไม่ให้เข้าถึงอุตสาหกรรมอาวุธ และเทคโนโลยีความมั่นคง มาตั้งแต่ปี 2564 แล้วเทคโนโลยีจากยุโรปเหล่านี้เล็ดรอดเข้าไปติดตั้งในอาวุธของกองทัพเมียนมาได้อย่างไร

จากรายงานของ CAR อุปกรณ์ป้องกันการรบกวนสัญญาณ ถูกตรวจพบในซากโดรนของกองทัพเมียนมาที่ถูกยิงตกในรัฐกะยาเมื่อปี 2567 อีกทั้งยังมีหลักฐานด้วยว่าอุปกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยีแบบเดียวกันนี้ถูกใช้งานในรัฐฉิ่น จนนำไปสู่การสืบสวนย้อนกลับในเส้นทางการจัดซื้อและส่งออกของเทคโนโลยีดังกล่าว

การสืบสวนพบว่า บริษัทผู้ผลิตในยุโรปได้ส่งมอบอุปกรณ์นี้จำนวน 3 ชิ้น ให้แก่ตัวแทนจำหน่ายในประเทศจีนเมื่อเดือนมีนาคม 2566 ก่อนที่ตัวแทนจำหน่ายดังกล่าวจะขายต่อไปล็อตใหญ่ให้กับบริษัทผู้ประกอบชิ้นส่วนโดรนในจีน และในเดือนมีนาคม 2567 บริษัทนั้นก็ได้นำสินค้าไปจำหน่ายให้กับอีกบริษัทหนึ่งที่ตั้งอยู่ในเมืองรุ่ยลี่ มณฑลยูนนาน เมืองชายแดนสำคัญติดกับมียนมา

[จากต้นทาง สู่ประเทศที่สาม ผ่านเข้าสมรภูมิ]

มาถึงจุดนี้ หลายคนคงพอนึกภาพออกว่า เทคโนโลยียุทโธปกรณ์จากยุโรปเล็ดรอดเข้าไปในสนามรบเมียนมาได้อย่างไร ทั้งที่ควรจะถูกปิดกั้นอย่างสิ้นเชิง ตามที่มีการเปิดเผยในรายงานของ CAR อย่างชัดเจน

ยิ่งไปกว่านั้น CAR ยังระบุด้วยว่า โดรนที่ติดตั้งเทคโนโลยีดังกล่าวถูกพบในสมรภูมิ เพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจากที่สินค้าถูกจัดส่งไปยังรุ่ยลี่ ซึ่งถือเป็นจุดเชื่อมโยงสำคัญของการถ่ายโอนเทคโนโลยีเข้าสู่กองทัพเมียนมา แม้ว่าบริษัทจีนผู้รับสินค้าเคยลงนามยืนยันว่าจะไม่ส่งต่อไปใช้ในทางทหารก็ตาม

รายงานของ CAR สรุปว่า แม้จะไม่มีหลักฐานว่าผู้จัดจำหน่ายหรือบริษัทประกอบชิ้นส่วนในจีนมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับการส่งอุปกรณ์ให้กองทัพเมียนมาในทางผิดกฎหมาย แต่ตำแหน่งที่ตั้งของบริษัทปลายทาง ซึ่งอยู่ใกล้แนวชายแดนเมียนมาในเขตที่มีความขัดแย้งรุนแรงอย่างต่อเนื่อง ก็ควรได้รับการจัดให้เป็น ‘พื้นที่เสี่ยงสูง’ ที่จำเป็นต้องถูกติดตาม ตรวจสอบ และกำกับดูแลอย่างใกล้ชิดจากทั้งภาคอุตสาหกรรมและหน่วยงานรัฐ

[เมื่อเทคโนโลยีวิ่งเร็วกว่ากฎหมาย] 

CAR ยังชี้ให้เห็นด้วยว่า ปัญหาสำคัญของมาตรการคว่ำบาตรในปัจจุบัน คือความล้าหลังของกฎหมายในการไล่ตามเทคโนโลยีเชิงพาณิชย์ที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว หลายกรณีอุปกรณ์ที่ไม่ได้ถูกจัดอยู่ในกลุ่มยุทโธปกรณ์ หรือ สินค้าควบคุมตามระเบียบ ‘dual-use’ หรือสินค้าที่สามารถประยุกต์ใช้ได้ทั้งในทางพาณิชย์และการทหาร 

เช่นในกรณีนี้ ผู้ผลิตในยุโรปไม่ได้ละเมิดกฎหมาย เนื่องจากอุปกรณ์ที่ส่งออกไม่ได้อยู่ในรายการควบคุมภายใต้ระเบียบการส่งออกของ EU อย่างไรก็ตาม การที่อุปกรณ์ดังกล่าวปรากฏในโดรนของกองทัพเมียนมาในช่วงเวลาอันสั้น กลับสะท้อนถึงความล้มเหลวของระบบติดตามและการแจ้งเตือนที่ควรมีอยู่ในห่วงโซ่อุปทาน

CAR เน้นว่า หากประชาคมระหว่างประเทศต้องการหยุดยั้งการรั่วไหลของเทคโนโลยีที่อาจถูกนำไปใช้โจมตีพลเรือนหรือในสงครามภายในประเทศ การคว่ำบาตรจะต้องมี กลไกติดตามผลในภาคสนาม ที่อาศัยข้อมูลเชิงลึกจากพื้นที่ความขัดแย้ง ไม่ใช่เพียงการออกกฎในระดับนโยบายเท่านั้น

ขณะเดียวกัน กลุ่มสิทธิมนุษยชน Justice For Myanmar (JFM) ก็ออกมาเรียกร้องให้สหภาพยุโรปขยายขอบเขตของมาตรการคว่ำบาตรให้ครอบคลุม สินค้าเทคโนโลยี การเงิน และเชื้อเพลิงการบิน พร้อมทั้งเร่งรัดให้ประเทศสมาชิกบังคับใช้มาตรการที่มีอยู่แล้วอย่างเข้มงวดมากขึ้น

[บทเรียนเดิม เกิดซ้ำในหลายสมรภูมิ]

กรณีของเมียนมาไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีการพบชิ้นส่วนเทคโนโลยีจากประเทศที่ประกาศคว่ำบาตร ปรากฏในอาวุธของหลายประเทศที่อยู่ในความขัดแย้ง สะท้อนว่ากลไกห้ามส่งออกเพียงอย่างเดียว ไม่อาจหยุดยั้งการรั่วไหลของเทคโนโลยีได้จริง

เช่นในยูเครน มีการพบขีปนาวุธและโดรนของรัสเซีย ที่ประกอบด้วยชิ้นส่วนที่ผลิตในสหรัฐฯ เยอรมนี ญี่ปุ่น และไต้หวัน แม้จะถูกคว่ำบาตรอย่างเข้มงวด แต่สินค้าเหล่านั้นกลับเดินทางผ่านเครือข่ายบริษัทในตุรกี ฮ่องกง และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ก่อนเข้าสู่กระบวนการผลิตโดยไม่มีเส้นทางการตรวจสอบที่ชัดเจน 

หรือที่อิหร่าน ซึ่งกลายเป็นผู้ผลิตโดรนราคาถูกรายใหญ่ในตะวันออกกลาง แม้จะประกอบในประเทศ แต่ก็พบว่าชิ้นส่วนสำคัญ เช่น แผงวงจร อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และระบบควบคุม ล้วนมีต้นทางจากบริษัทในสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร โดยผ่านตัวแทนจำหน่ายรายย่อยในมาเลเซียและจีน 

สินค้าเหล่านี้จำนวนมากไม่ถูกจัดอยู่ในบัญชีควบคุมการส่งออก จึงสามารถหลุดรอดจากระบบกำกับดูแลได้โดยสมบูรณ์

นี่จึงไม่ใช่ปัญหาเฉพาะประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่เป็นความท้าทายเชิงโครงสร้างของระบบคว่ำบาตรในโลกที่ห่วงโซ่อุปทานกระจายและยืดหยุ่นมากกว่าที่กฎหมายจะควบคุมได้ทัน

[‘ช่องโหว่ใหญ่’ ที่ต้องหาทางออกร่วมกัน]

สิ่งที่เกิดขึ้นในเมียนมา รัสเซีย และอิหร่าน สะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในธรรมชาติของสงครามยุคใหม่ ซึ่งเป็นสงครามที่เทคโนโลยีสามารถเดินทางข้ามพรมแดนได้รวดเร็วกว่ากฎหมายระหว่างประเทศ และไกลเกินกว่าที่เจตจำนงทางการเมืองจะควบคุมได้ทัน

แม้มาตรการคว่ำบาตรยังคงเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่ประชาคมโลกใช้ตอบโต้ต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือการรุกรานทางทหาร แต่ในโลกที่ห่วงโซ่อุปทานกระจายตัว ซับซ้อน และไร้พรมแดน การควบคุมเพียง ‘ที่ต้นทาง’ อาจไม่เพียงพออีกต่อไป

หากกลไกการคว่ำบาตรยังขาดระบบติดตามที่เข้มงวด ขาดการประเมินผลจริงจากภาคสนาม และยังปล่อยให้ข้อจำกัดทางกฎหมายล้าหลังการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยี มาตรการเหล่านี้ก็อาจกลายเป็นเพียง ‘สัญลักษณ์ทางการเมือง’ ที่มีวัตถุประสงค์แค่เพียง ประกาศจุดยืนในเวทีระหว่างประเทศ แต่ไม่อาจหยุดยั้งความรุนแรง หรือสร้างสันติภาพได้อย่างแท้จริง

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า