SHARE

คัดลอกแล้ว

ในช่วงปลายเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา หนึ่งในกระแสฮือฮาที่สุดในแวดวงการเงิน การธนาคาร การลงทุน รวมถึงแวดวงเทค กับ ‘การทรานฟอร์ม’ สู่ยานแม่ลำใหม่อย่าง SCBX เราเลยชวน ‘พลัฏฐ์ ศิริกุลพิสุทธิ์’ อดีตเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ มาแกะโมเดล SCBX ในการปลดล็อกมูลค่าธุรกิจสู่ ‘โลกอนาคต’ ได้อย่างไร

ความเป็น ‘ธนาคาร’ = อุปสรรคของยักษ์ใหญ่วัย 115 ปี

‘พลัฏฐ์’ อธิบายว่า ที่ผ่านมา ‘ธนาคาร’ เป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมทางการเงินที่เป็นอุตสาหกรรมที่มีความเกี่ยวข้องกับประชาชนสูง จึงต้องถูกควบคุมอยู่ภายใต้การดูแลของ ‘ธนาคารแห่งประเทศไทย’ (ธปท.) ทำให้ ‘การเคลื่อนไหว’ ของธนาคารไม่สะดวกคล่องตัว อย่างเช่นธนาคารพาณิชย์ไม่ได้รับอนุญาตให้ลงทุนในหุ้นมากกว่า 10% ถ้าอยากลงทุนในหุ้นมากกว่า 10% จะต้องได้รับอนุญาตและถูกกำหนดให้ลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเท่านั้น

“ด้วยบริบทของโลกที่เปลี่ยนไปทำให้ SCB จัดเตรียมวงเงินงบประมาณสำหรับลงทุนในสตาร์ทอัป ที่ผ่านมา SCB เองก็ได้ลงทุนใน ‘Robinhood’ แอปพลิเคชันฟู้ดเดลิเวอรี่ใหม่ที่มีคู่แข่งอันดับหนึ่งคือ Grab ที่หากเมื่อไรเข้าสู่ตลาดฯ แล้วจะมี Market Cap หรือมูลค่าธุรกิจใหญ่กว่า SCB ทันที แม้จะยังขาดทุนอยู่มากในปัจจุบัน”

‘พลัฏฐ์’ เสริมว่า ด้วยเพอร์ฟอร์มที่ดีของ Robinhood ที่เกิดขึ้นในช่วงโควิด-19 และสามารถครองใจของผู้บริโภคได้ ทำให้ผู้บริหารของ SCB เชื่อว่าถ้าปั้น Robinhood ดีๆ ก็จะสามารถเติบโตได้ไม่แพ้ Grab ดังนั้น จะต้องปลดล็อก ‘คุณค่า’ ของ Robinhood และสตาร์ทอัปอื่นๆ ที่ต้องการจะลงทุนให้ได้

แต่ด้วยระบบนิเวศเดิมภายใต้การดูแลของธนาคารไทยพาณิชย์ ทำให้ Robinhood ไม่สามารถเติบโตได้เหมือนสตาร์ทอัปทั่วไป เพราะข้อจำกัดของธนาคาร การจะปลดปล่อยศักยภาพของธุรกิจจึงจำเป็นจำต้องมีการเปลี่ยนแปลง

‘ฟินเทค’ ดิสรัปวงการธนาคาร

‘พลัฏฐ์’ อธิบายว่า ในธุรกิจกลุ่มคอมซูเมอร์ไฟแนนซ์นั้น ‘คู่แข่ง’ อย่างกรุงไทยที่เป็นรัฐวิสาหกิจมีบริษัทลูกอย่าง ‘KTC’ ที่ได้รับการปลดปล่อยศักยภาพและมีอำนาจในการบริหารจัดการตัวเองอย่างอิสระ จนทำให้ KTC สามารถขึ้นเป็นผู้ในด้านตลาดบัตรเครดิตได้ แม้ว่า KTC จะไม่ได้เป็น ‘ฟินเทค’ เต็มตัว แต่ก็เป็นตัวอย่างของบริษัทที่ถูกปลดปล่อยโครงสร้างทำให้สามารถแข่งขันได้และมีการจัดการที่ดี

เมื่อกลับมาพูดถึง ‘ฟินเทค’ ทุกคนเริ่มมองเห็นแล้วว่าฟินเทคจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมโลก การเงิน และธนาคาร โดยปกติแล้วจะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ ‘กลัวฟินเทค’ เหมือนกับรายการโทรทัศน์กลัวสตรีมมิง ในขณะที่อีกกลุ่มมองว่า ‘ฟินเทคจะเป็นส่วนเสริม’ ให้แข็งแกร่งขึ้นด้วยวิธีการของฟินเทค

ปกติแล้วธนาคารจะแบ่งเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มบริหารความมั่งคั่ง กลุ่มการลงทุน และกลุ่มประกัน ทั้งสามกลุ่มจะถูกดิสรัปทั้งหมด อย่าง ‘แอนท์ ไฟแนนเชียล’ (ant financial) กลุ่มธุรกิจฟินเทคของจีนที่ปล่อยสินเชื่อโดยใช้ AI ทำให้อัตราการเกิดหนี้เสียต่ำกว่า 1%

แต่ ‘ฟินเทค’ ไม่ได้อยู่ภายใต้การดูแลของธนาคารแห่งชาติ ทำให้ ‘แอนท์ ไฟแนนเชียล’ สามารถปล่อยสินเชื่อแบบ P2P Lending หรือจับคู่ผู้ฝากกับผู้กู้ได้เลย โดยไม่ต้องใช้ทุนของธนาคาร ขณะที่ ‘ธนาคาร’ ที่อยู่ภายใต้การควบคุมจำเป็นจะต้องใส่ทุนลงไปในการปล่อยสินเชื่อด้วย และเพราะ ‘แอนท์ ไฟแนนเชียล’ จับเสือมือเปล่ามาโดยตลอด ทำให้ทางการจีนเริ่มเข้ามาให้ความสำคัญกับการควบคุมฟินเทคมากขึ้น

“แม้ SCBX หรือธนาคารต่างๆ จะเริ่มขยับเข้าสู่ธุรกิจฟินเทคมากขึ้น ขณะเดียวกัน ธปท. เองก็จะขยับเข้ามาดูแลควบคุมธุรกิจฟินเทคมากขึ้น เพราะระบบการเงินคือเส้นเลือดใหญ่ของประเทศ ถ้าหากมีความเสียหายจะเกิดปัญหาขึ้น เพราะระบบการเงินยังเป็นเครื่องมือส่งสัญญาณขยายเศรษฐกิจหรือเศรษฐกิจชะลอตัวด้วยการใช้เครื่องมือเดิมๆ”

ถอดบทเรียน ‘โมเดล’ ต่างประเทศ

‘พลัฏฐ์’ เล่าว่า ถ้าถามถึงการปรับโครงสร้างธุรกิจในลักษณะเดียวกับ SCBX นั้นในต่างประเทศสามารถดูโมเดล Alphabet กับ Google ได้ เพราะแม้ขณะนั้น Google จะมีขนาดใหญ่และมีการเติบโตมากแล้ว แต่ผู้บริหารก็ยังมองว่า Google ยังสามารถเติบโตได้อีกและจำเป็นต้องปลดล็อกศักยภาพจึงได้ตั้ง Alphabet ขึ้นเป็นบริษัทแม่ เช่นเดียวกับที่ SCB เลือกตั้ง SCBX ขึ้นเป็นบริษัทแม่

ในส่วนของธุรกิจฟินเทคในและต่างประเทศ ประเทศที่ฟินเทคเดินได้เร็วคือ ‘จีน’ แม้แต่ในฝั่งยุโรปหรืออเมริกาเองก็ยังช้ากว่า โดย ‘ระบบเพย์เมนท์’ ของจีนอย่าง ‘อาลีเพย์’ หรือ ‘วีแชทเพย์’ ที่ก้าวหน้าในระดับดิสรัปอดีตระบบเพย์เมนท์ระดับโลกอย่าง ‘วีซ่า’ หรือ ‘มาสเตอร์การ์ด’ และกลายเป็น ‘ซูเปอร์แอป’ ที่โดดเด่น

ในขณะที่สถาบันการเงินในไทยก็มีผู้บริหารที่เก่งและปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว เพียงแต่รูปแบบที่นำเสนอออกมาอาจจะถูกรับรู้ชัดบ้างไม่ชัดบ้าง อย่างในกลุ่ม KBank และ KTB เองก็ให้ความสนใจกับธุรกิจการเงินสมัยใหม่ เพียงแต่ยังไม่ได้ปรับรูปแบบออกมาชัดเจนอย่าง SCB ที่ผ่านมา KBank เองก็มีการเคลื่อนไหวที่เร็วได้เข้าซื้อหุ้นของ Grab และขอ Sharing Data พร้อมเข้าไปร่วมกับธุรกิจเพย์เมนท์ ส่วนธนาคารกรุงเทพฯ ก็ทำผ่านการเข้าสู่ระบบแรบบิทเพย์ แสดงให้เห็นถึงการปรับตัวของธนาคารพาณิชย์มาโดยตลอด

‘บริษัทลูก’ เข้าตลาดฯ ไม่ใช่สูตรสำเร็จเสมอไป

‘พลัฏฐ์’ เล่าว่า โมเดลการนำ ‘บริษัทลูก’ หรือที่เรียกว่าโมเดลสปินออฟ (spin off) เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ก็คือหนึ่งในวิธีการเพิ่มมูลค่าบริษัทให้สูงขึ้นตามสภาพเศรษฐกิจ อย่างที่กลุ่ม ปตท. ทำกับ PTTOR แต่ไม่ได้แปลว่าโมเดลนี้จะเป็นสูตรสำเร็จเสมอไป อย่างกลุ่มสหพัฒน์เองถึงจะมีการสปินออฟบริษัทลูกออกมา แต่ไม่ได้ผลักดันมูลค่ารวมของบริษัทได้ถึงจุดที่ต้องการ

SCB X จะกรุยทางให้ ‘สตาร์ทอัป’ ไทย

“ตอนนี้กระแสโลกพูดกันเรื่องของ ‘ยูนิคอร์น’ ที่เกิดใหม่และโตเร็ว ในบ้านเรามียูนิคอร์น 2 ตัวเท่านั้น ขณะที่หลายประเทศมียูนิคอร์นหลายตัว อย่างเช่นอินโดนีเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม ประเทศไทยเราใช้เวลากว่า 10 ปีที่นโยบายรัฐอยากได้ยูนิคอร์น แต่เพราะความเข้าใจผิดในการใช้ระบบเอื้อเอกชน ทั้งที่รัฐบาลไม่ควรเข้าไปยุ่ง ควรปล่อยให้นิเวศของเอกชนได้ทำงาน สิ่งที่รัฐบาลควรทำคือ ลดข้อกฎหมายลง”

ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงของ SCBX จะทำให้ประเทศไทยมีโอกาสที่จะมียูนิคอร์นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะกลุ่มบริษัทใหญ่ในไทยจะเริ่มเห็นโอกาสในการปรับตัวรวดเร็ว ประเทศไทยเองมีผู้ประกอบการและมหาเศรษฐีที่เก่งจำนวนมาก ถ้า SCB สามารถไปได้และเข้าตลาดได้เร็ว กลุ่มเศรษฐีเหล่านี้พร้อมที่จะเป็นนายทุนสร้างสตาร์ทอัปขึ้นมา

เช่นเดียวกัน การแข่งขันที่มากขึ้นก็จะทำให้นวัตกรรมที่ดีขึ้น ผู้บริโภคก็จะได้ประโยชน์มากขึ้นจากแพลตฟอร์มที่เปลี่ยนไป กลายเป็นโอกาสให้กับคนที่มีไอเดียและสามารถช่วยให้ชีวิตคนในปัจจุบันสะดวกสบายมากขึ้น

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า