แฉปฏิบัติการไอโอภาค 2 ขายแฟรนไชส์ให้เอกชน จวกรัฐล้มเหลวบริหารปัญหาโควิด-19

ฝ่ายค้านเพื่อประชาชน จัดเวทีซักฟอกนอกสภา ครั้ง 1 “พล.ท.ภราดร” เผย มีปฏิบัติการนี้จริง สมัยก่อนทหารใช้เพื่อเอาชนะอริราชศัตรู  ด้าน “วิโรจน์” บอกหลังอภิปรายปฏิบัติการไอโอ 40 สถานีปิดไปแล้ว แต่กำลังขายแฟรนไชส์ให้กับพนักงานเอกชน “อังคณา นีละไพจิตร” ร่วมวงเปิดข้อมูล เคยโดนถ่ายรูปกล่าวหาอยู่เบื้องหลังนักศึกษาแฟลชม็อบที่ ม.ธรรมศาสตร์ ขณะที่หลายเสียงเห็นตรงกัน “ข้อมูลโควิด-19” ไม่ใช่ ไอโอ แต่เกิดจากรัฐมีข้อมูลไม่เพียงพอจึงทำให้เกิดการบิดเบือนจนประชาชนแตกตื่น

วันที่ 12 มีนาคม ที่โรงแรมแลงคาสเตอร์ พรรคร่วมฝ่ายค้านจัดเวที ซักฟอกนอกสภา เวทีที่ 1 “แฉกระบวนการ IO ฉีกหน้ากากขบวนการเพิ่มความขัดแย้ง” มีวิทยากร ประกอบด้วย พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทย นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร โฆษกชั่วคราวพรรคก้าวไกล นายนิคม บุญวิเศษ หัวหน้าพรรคพลังปวงชนไทย นางอังคณา นีละไพจิตร นักปกป้องสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และนายโอมาร์ หนุนอนันต์ โปรดิวเซอร์ ปั่นประสาท podcast

พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) อธิบายที่มาคำว่า ไอโอ มาจากภาษาอังกฤษว่า Information Operations แปลว่า การปฏิบัติการข่าวสาร เป็นเครื่องมือหนึ่งที่ต้องการสื่อสารไปถึงเป้าหมายต้องการให้เชื่อตามที่ต้องการให้เชื่อ เชื่อความจริงคือเป็นความจริง หรือเชื่อความเท็จว่าเป็นความจริง เป็นปฏิบัติการที่ใช้ในทางทหาร ประเทศมหาอำนาจเมื่อต้องไปปฏิบัติการนอกประเทศใช้เครื่องมือนี้ ควบคู่กับปฏิบัติการจิตวิทยาเพื่อให้การเข้าไปดูดี

(วิโรจน์ ลักขณาอดิศร)

นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร โฆษกชั่วคราวพรรคก้าวไกล กล่าวว่า ตั้งแต่พาประชาชนไปตรวจสอบ หลังจากวันนั้นขบวกการไอโอ 40 สถานี น่าจะมีการยกเลิกทั้งหมด เพราะโลกไซเบอร์สงบสุขขึ้น แต่กรอบความคิดยังมีอยู่ “เราไม่ได้เกลียดกันเพราะอยู่ดีๆ เราเกลียดกัน แต่เราถูกปลุกปั่นยุยงให้เกลียดกันหรือเปล่า”

เป้าประสงค์แรกของขบวนไอโอ มองผู้สนับสนุนตัวเอง (แฟนคลับ) เป็นเครื่องมือ ที่ต้องทำให้เกลียดชังฝ่ายตรงข้าม รวมทั้งผู้สนับสนุนของฝ่ายตรงข้ามด้วย เขาไม่ได้รักแฟนคลับของเขา ความสูญเสียเกิดขึ้นกับแฟนคลับทั้งสองฝ่าย เป็นหนังม้วนเก่าที่พยายามฉายซ้ำ พร้อมย้ำว่า สังคมต้องตระหนัก การเกลียดชังเกิดจากการมีกระบวนการที่ทำให้เราเกลียดชังกันหรือไม่ ทั้งที่สังคมไทยเป็นสังคมที่เคยโอบรับความแตกต่างหลากหลาย

“หน่วยงานของรัฐผมตั้งข้อสังเกตว่าน่าจะสงบขึ้น วันนี้ผมยังไม่ได้คำตอบนะ ว่าใช้ภาษีของรัฐมาปลุกปั่นยุยงประชาชนหรือไม่ยังไม่ได้คำตอบ ใช้เจ้าหน้าที่รัฐ ใช้น้ำไฟรัฐ ใช้สถานที่ของรัฐ มายุยงปลุกปั่นประชาชนหรือไม่ยังไม่ตอบผมเลย แต่ดันผ่านอภิปรายไม่ไว้วางใจไปแล้ว ผ่านได้ยังไงไม่รู้เหมือนกับข้อสอบยังไม่ทำเลย แต่ปรากฏครูให้เกรด 4 ไม่เป็นไรเดี๋ยวสอบครั้งหน้าเอาใหม่ วานคุณครูออกข้อสอบยากๆ”

นายวิโรจน์ ยืนยันที่ว่า ยังมีกรอบความคิดที่ยังไม่เปลี่ยน เพราะกำลังขายแฟรนไชส์จากคนของเขาไปสู่เอกชน การจะคานกระแสในโซเชียลที่เป็นธรรมชาติต้องใช้คนจำนวนมาก แล้วคนจำนวนมากเอามาทำงานชั้นความลับ คิดว่าจะปกป้องชั้นความลับได้เหรอ ตอนี้เขาพยายามผ่องถ่ายไปให้เอกชน โลกดิจิทัลมี ดิจิทัล ฟุตพริ้นท์ (digital footprint ร่องรอยที่ทิ้งไว้บนโลกดิจิทัล) ไม่เช่นนั้นตนคงไม่รู้ ว่าคนที่คุณจะมอบหมายให้เขาไปทำ พนักงานต้องไปนั่งบีทีเอส แล้วไปลงสถานีพญาไทแล้วนั่งมอเตอร์ไซต์ต่อ ซึ่งตนไม่ได้รู้เพราะการไปสืบ แต่คนที่เขาไม่พอใจ

“เท่าที่สืบตอนนี้ยังมาจากกลุ่มแค่ 2-3 กลุ่ม ออฟฟิศอยู่ตามแนวรถไฟฟ้า 2-3 ที่ …ผมถามว่าคนรุ่นใหม่คุณใช้เขาไปทำงานแบบนี้คุณคิดว่าจะใช้เขาได้เหรอ ผมพบไอโอบางคนตลกมานะครับ แอคเคาท์จริงๆ เชียร์พรรคฝ่ายค้าน แอคเคาท์อวตารด่าฝ่ายค้านทุกวัน ผมสงสารเขานะ ถ้าผมต้องทำงานอย่างนี้ ไปด่าคนที่ผมรู้สึกว่าถูกต้องแล้วอยู่ทุกวี่ทุกวัน สุดท้ายเขาไม่ไหวแล้วลาออก แต่มันกำลังเบ่งบาน ประชาชนต้องยุติกระบวนการเหล่านี้ต้องทำให้แฟรนไชส์แบบนี้เจ๊งให้ได้”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงท้ายมีการเปิดให้ตอบคำถามจากสื่อมวลชนที่ถามว่า สถานการณ์ระบาดโรค “โควิด-19” ในไทยเป็นขบวนการไอโอหรือไม่ ทั้งนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร และนายนิคม บุญวิเศษ หัวหน้าพรรคพลังปวงชนไทย ระบุว่า ไม่ใช่ไอโอ แต่เกิดจากการบริหารจัดการ รัฐไม่มีข้อมูลที่แท้จริงโดยเฉพาะคนที่เข้ามาในประเทศ ส่วนการตรวจเจอผู้ติดเชื้อน้อยกว่าประเทศอื่นก็เพราะมีการตรวจคัดกรองโรคน้อยกว่าจึงทำให้ประชาชนแตกตื่นและไม่เชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะจัดการปัญหานี้ได้