สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จัดงานแถลงแผนยุทธศาสตร์ ปี 2567 โดยพูดถึงสิ่งสำคัญของตลาดทุนคือเรื่องของความเชื่อมั่น ซึ่งเป็นเรื่องหลักที่ก.ล.ต.มุ่งหวังที่จะสร้างให้เเข่งแกร่งมากขึ้น
‘พรอนงค์ บุษราตระกูล’ เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่า ภายใต้บริบทปัจจุบันและในระยะ 3 ปีข้างหน้า ก.ล.ต. ตั้งเป้าหมายยกระดับความน่าเชื่อถือของตลาดทุนไทย (trust & confidence) และการดำเนินการด้านการกำกับดูแล การบังคับใช้กฎหมายให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นรูปธรรมมากขึ้น
รวมถึง การตรวจจับความผิดปกติได้ทันการณ์และนำผู้กระทำผิดมาลงโทษได้รวดเร็วด้วยโทษที่เหมาะสมเท่านั้น แต่ยังต้องสอดประสานความร่วมมือ (harmonization) กับผู้ร่วมตลาด เพื่อยกระดับคุณภาพและประสิทธิภาพการทำหน้าที่ของผู้ที่เกี่ยวข้องใน value chain ของตลาดทุน
โดย ก.ล.ต. เชื่อมั่นว่าการยกระดับสิ่งเหล่านี้จะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นในตลาดทุนให้แข็งแกร่งขึ้น เป็นรากฐานในการช่วยบรรเทาผลกระทบและปรับวิกฤตเป็นโอกาส
นอกจากนี้ ก.ล.ต.ยังมุ่งผลักดันให้ตลาดทุนไทยมีพัฒนาการที่ต่อยอดจากเดิม โดยปรับเปลี่ยนจุดมุ่งเน้นเพื่อตอบโจทย์ประเทศในการปรับตัวสู่เศรษฐกิจดิจิทัล เศรษฐกิจสีเขียว และเศรษฐกิจที่ลดความเหลื่อมล้ำจากการมีความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนอย่างยั่งยืน
สำหรับ แผนยุทธศาสตร์ ก.ล.ต. ปี 2567 – 2569 มุ่งบรรลุเป้าหมายหลัก 4 ด้าน ดังนี้
(1) ตลาดทุนมีความน่าเชื่อถือ (trust and confidence)
(2) ตลาดทุนเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญสู่เศรษฐกิจดิจิทัล
(3) ตลาดทุนเป็นกลไกสำคัญสู่ความยั่งยืน (sustainable capital market)
(4) ผู้ลงทุนมีศักยภาพในการสร้างสุขภาพทางการเงินที่ดี
ทั้งนี้ ก.ล.ต. ได้กำหนดให้มีแผนองค์กรนวัตกรรมซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญ (enabler) ที่จะช่วยส่งเสริมการขับเคลื่อนและผลักดันภารกิจให้เกิดผลสัมฤทธิ์และบรรลุเป้าหมายตามที่ตั้งไว้
เลขาธิการ ก.ล.ต.กล่าวว่า อยากเห็นการทำงานร่วมกันขององค์กรในตลาดทุน เพื่อให้กระบวนการต่างๆ เร็วขึ้นและยังเป็นการช่วยลดต้นทุนลงและสามารถนำเงินที่เหลือไปลงทุนพัฒนาส่วนอื่นๆ ต่อได้
ด้าน ‘ดร.ภากร ปีตธวัชชัย’ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์ฯ มุ่งผลักดัน 3 เรื่องหลัก คือ การทำให้การซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ มีประสิทธิภาพ การดึงดูดบริษัทต่างประเทศให้เข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้นและการให้ความสำคัญมากขึ้นในเรื่องของความยั่งยืน หรือ ESG
รวมถึงอนาคตเรื่องของ Digital Asset ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ มีความมุ่งมั่นที่อยากจะสร้างความเชื่อมโยง สร้างระบบนิเวศ (Ecosystem) ของการลงทุน การระดมทุนให้เกิดขึ้นระหว่างในประเทศและต่างประเทศ
ขณะที่สิ่งที่จะทำให้การทำงานของผู้ดูแลตลาดทุน ดีขึ้นและเป็นสิ่งที่องค์กรตลาดทุนจำเป็นต้องช่วยกัน มี 3 เรื่องเช่นกัน ได้แก่
1.เรื่องกฏเกณฑ์ต่างๆ ที่จะทำอย่างไรให้คนเข้าใจกฏระเบียบที่เกิดขึ้นทำให้เกิดความน่าเชื่อถือว่าตลาดทุนทำงานอย่างเต็มที่ มีกฏเกณฑ์ที่ทันสมัยไวต่อสถานการณ์ เอื้อต่อการสร้างระบบนิเวศการออกและการลงทุนที่ดี
2.ความพร้อมของดิจิทัล เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นและตอบโจทย์นักลงทุน รวมถึงมีการพัฒนาให้เข้าถึงข้อมูลมากขึ้น
3.รวมกันผลักดันให้ภาคธุรกิจสามารถขยายตัวโดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้เงินมาก และสร้างความหลากหลายของธุรกิจให้มากขึ้น
ขณะที่ ‘ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล’ ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) กล่าวว่า สิ่งที่จะทำต่อเพื่อช่วยให้การทำงานกับก.ล.ต.มีประสิทธิภาพมากขึ้น คือเรื่องของการสร้างความเชื่อมั่น และเรื่องของข้อมูลต่างๆ ที่จะต้องมีการเชื่อมโยงถึงกันให้ได้มากขึ้น
รวมถึงในส่วนของปัญหาต่างๆ เราพร้อมที่จะช่วยประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อช่วยเหลือและขับเคลื่อนไปข้างหน้าพร้อมกัน
นอกจากนี้ ‘ดร.กอบศักดิ์’ พูดถึงมุมมืด (Dark spot) ที่เป็นจุดทำลายความเชื่อมั่นยังมีอยู่คือ หุ้นขนาดเล็ก(Small Cap) ที่ไม่มีนักวิเคราะห์ทำข้อมูลให้กับนักลงทุน
ดังนั้น ภายในระยะ 2-3 เดือนหลังจากนี้จะมีการเจรจาขอทุนราว ๆ 20 ล้านบาทจากกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF) เพื่อจัดตั้งทีมวิจัยหุ้นขนาดเล็กที่ปัจจุบันมีอยู่มากกว่าครึ่งหนึ่งในตลาดหุ้นไทย
ซึ่งก็จะเป็นอีกเรื่องที่จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน สร้างความน่าเชื่อถือให้ตลาดทุนจากข้อมูลที่จะเพิ่มมากขึ้น