ปฏิเสธไม่ได้ว่าไฟป่าที่เกิดขึ้นนับต้องแต่ช่วงกลางปี 2019 จนถึงตอนนี้ คืออีกหนึ่งวิกฤตการณ์ครั้งสำคัญของออสเตรเลีย พื้นที่กว่า 2 ล้านเอเคอร์ หรือราว 5 ล้านไร่ และสัตว์ป่าจำนวนกว่า 500 ล้านตัว ถูกเปลวไฟเผาผลาญ ด้านทางการออสเตรเลียได้ได้พยายามทำทุกวิธีทางที่จะป้องกันไม่ให้ไฟป่าลุกลามไปมากกว่านี้ และหนึ่งในพื้นที่ๆ ทางการออสเตรเลียจะยอมให้ถูกไฟป่าทำลายไม่ได้ก็คือป่าสนวอลลีเมีย หรือฉายา “ต้นสนไดโนเสาร์” ซึ่งเป็นต้นไม้ที่มีอายุตั้งแต่ยุดไดโนเสาร์ที่ปัจจุบันยังอยู่ต้นอยู่กว่า 200 ต้น อายุไม่ต่ำกว่า 200 ล้านปี ในเขตป่าฝนของ Wollemi National Park รัฐนิวเซาธ์เวลส์ ห่างจากนครซิดนีย์ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ 150 กิโลเมตร
แมตต์ คีน รัฐมนตรีด้านสิ่งแวดล้อมของรัฐนิวเซาธ์เวลส์กล่าว่า “นี้คือภาระกิจการปกป้องสิ่งแวดล้อมที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แม้ว่าพื้นป่าโดยรอบจะได้รับผลกระทบจากไฟป่า แต่ผืนป่าสนวอลลีเมียยังคงปลอดภัยดีอยู่” แม้ว่าทางการจะนำต้นสนไดโนเสาร์บางไปส่วนไปยังสวนสวนพฤกษศาสตร์ทั่วโลกเพื่อรักษาสายพันธุ์ แต่ที่ Wollemi National Park ยังเป็นป่าสนวอลลีเมียแห่งเดียวที่เหลืออยู่บนโลก
ด้านนายแมตต์ คีน เผยว่า เมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว ไฟป่าได้ลุกลามจนเข้ามาใกล้กับป่าสนวอลลีเมีย เจ้าหน้าที่ต้องระดมเครื่องบินดับเพลิงเพื่อดับไฟที่ลุกลามใกล้กับผืนป่าอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ทีมนักดับเพลิงบางส่วนได้เข้าไปติดตั้งระบบท่อน้ำเพื่อใช้ในการป้องกันไฟและสร้างความชุ่มชื้นให้ผืนป่าอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ป่าสนวอลลีเมียรอดจากวิกฤตไฟป่าครั้งนี้ไปได้
สำหรับต้นสนวอลลีเมียหรือต้นสนไดโนเสาร์นั้น เป็นสกุลของพืชเมล็ดเปลือยจำพวกสนในวงศ์ Araucariaceae ถูกค้นพบโดยนายเดวิด โนเบล ในปี 1994 โดยก่อนหน้านี้ผู้เชี่ยวชาญคิดว่าต้นสนวอลลีเมียได้สูญพันธุ์ไปแล้วเนื่องจากผู้เชี่ยวชาญพบพืชในสกุล Wollemia แค่ฟอสซิลเท่านั้น ซึ่งถือเป็นการค้นพบครั้งสำคัญในวงการบรรพชีวินวิทยา ปัจจุบันต้นสนวอลลีเมียถูกจัดให้อยู่ในสถานะเสี่ยงขั้นวิกฤติต่อการสูญพันธุ์