ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำคุก 12-19 ปี 7 โจ๋ ฆ่าชายพิการขายขนมปัง

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นจำคุก 12-19 ปี 7 โจ๋ ร่วมกันแทงชายพิการขายขนมปังย่านโชคชัย 4 จนเสียชีวิต ขณะที่ญาติผู้เสียชีวิตพอใจผลคำพิพากษา

จากกรณีเหตุการณ์แก๊งวัยรุ่นจำนวน 7 คน บุกเข้าไปในบ้านพักของนายสมเกียรติ อายุ 35 ปี ชายพิการ มีอาชีพส่งขนมปังร้านปังหอม ภายในซอยโชคชัย 4 เขตลาดพร้าว ก่อนจะใช้อาวุธมีดแทงฟันและปาก้อนอิฐใส่นายสมเกียรติจนเสียชีวิต ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดวันที่ 1 พ.ย. 2559 โดยจำเลยทั้งหมดได้ให้การปฏิเสธ และต่อสู้คดีมาโดยตลอด

ภาพเมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 2560 ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษา

ล่าสุด วันที่ 19 พ.ย. 2562 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ห้องพิจารณา 813 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีฆ่าชายพิการขายขนมปัง ย่านโชคชัย 4 หมายเลขดำ อ.2186/2559 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 9 เป็นโจทก์ และนางทองคำ มารดาผู้เสียชีวิต เป็นโจทก์ร่วม ยื่นฟ้องนายพีรพล อายุ 23 ปี, นายอัครเดช อายุ 24 ปี, นายมนต์มนัส อายุ 23 ปี, นายจตุพร อายุ 20 ปี, นายเมฆ อายุ 21 ปี, นายอรินทร์ อายุ 21 ปี และ น.ส.ณัฐณิชา อายุ 20 ปีเศษ จำเลยทั้ง 7 ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นฯ, ร่วมกันบุกรุกโดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยมีอาวุธ และร่วมกันพกพาอาวุธมีดไปในเมือง โดยไม่มีเหตุอันควร

ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 2560 พิพากษาลงโทษพวกจำเลยในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา จำคุกจำเลยที่ 1, 2, 3, 6 คนละ 18 ปี ฐานบุกรุกเข้าไปในเคหะสถานผู้อื่น จำคุกจำเลยที่ 2, 4, 5, 6 คนละ 1 ปี ฐานช่วยเหลืออำนวยความสะดวก จำคุกจำเลยที่ 4, 5, 7 คนละ 12 ปี ฐานข้อหาพกพาอาวุธไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควรสั่งปรับจำเลยที่ 1-6 คนละ 1,000 บาท รวมจำคุกจำเลยที่ 1 และ 3 คนละ 18 ปี ปรับคนละ 1,000 บาท ส่วนจำเลยที่ 2 และ 6 รวมจำคุกคนละ 19 ปี ปรับคนละ 1,000 บาท ส่วนจำเลยที่ 4 และ 5 จำคุกคนละ 13 ปี และจำเลยที่ 7 จำคุก 12 ปี ปรับจำเลยที่ 4-5 คนละ 1,000 บาท และให้จำเลยร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายอันเป็นการกระทำละเมิดและค่าอุปการะแก่โจทก์ร่วม รวมวงเงิน 5 แสนบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี สัดส่วนตามพฤติการณ์ของจำเลยแต่ละคน

ขณะที่วันนี้ศาลเบิกตัวจำเลยทั้งหมดซึ่งถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำตั้งแต่วันที่ถูกจับกุมมาฟังคำพิพากษา ขณะที่ฝ่ายโจทก์ร่วมซึ่งเป็นญาติผู้เสียชีวิตก็เดินทางมาฟังคำพิพากษาเช่นกัน โดยศาลอุทธรณ์อ่านคำพิพากษา ซึ่งปรากฏว่าฝ่ายจำเลยอุทธรณ์ต่อสู้คดีในหลายประเด็น ด้วยท่วงทำนองปฏิเสธเสียงแข็งไม่ได้กระทำผิด เช่น การอ้างว่าคดีถูกกดดัน, ฝ่ายผู้เสียชีวิตมีอาวุธมีดยาวกว่า, เคยมีประวัติต้องคดี, ไม่ได้ขว้างอิฐ และไม่ได้ตะโกนว่าเอาให้ตาย เป็นต้น

โดยศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่าพยานโจทก์ที่เบิกความเป็นประจักษ์พยาน รวมถึงภาพถ่ายและกล้องวงจรปิด มีน้ำหนักหนักแน่น ไม่มีเหตุที่พยานโจทก์จะปรักปรำพวกจำเลย ไม่มีเหตุกดดัน กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา พวกจำเลยทั้งเจ็ดอยู่ร่วมกันในที่เกิดเหตุ ในลักษณะเป็นพวกกัน เป็นกำลังใจให้ฮึกเหิม รุมทำร้ายผู้ตายที่อวัยวะสำคัญ เมื่อตำรวจมาถึงที่เกิดเหตุก็ไม่หยุดกระทำ ขณะที่ผู้ตายต่อสู้เพื่อป้องกันชีวิตมากกว่ามีเจตนาทะเลาะ ประวัติของผู้ตายไม่ใช่ข้ออ้างในคดี ส่วนที่จำเลยที่ 6 อ้างไม่ได้ขว้างอิฐ และจำเลยที่ 7 อ้างไม่ได้พูดว่าเอาให้ตาย เป็นการอ้างลอยๆ ฟังไม่ขึ้น เนื่องจากมีประจักษ์พยานหลายปาก พวกจำเลยเป็นลูกตำรวจ หากไม่ใช่เรื่องจริงพยานคงไม่กล้าเบิกความให้ร้ายปรักปรำ

ในส่วนที่จำเลยขออุทธรณ์ให้ศาลลงโทษในสถานเบา เนื่องจากขณะเกิดเหตุยังเป็นเยาวชนที่มีอายุ 18-22 ปี และไม่เคยกระทำผิดมาก่อน ส่วนโจทก์อุทธรณ์ให้ลงโทษสถานหนัก ศาลอุทธรณ์เห็นว่าพวกจำเลยอยู่ในวัยหนุ่มสาว กระทำโดยไม่คิดรอบด้าน และทำผิดโดยง่ายนำมาสู่การสูญเสีย แต่จากพฤติการณ์ที่ร่วมกันก่อเหตุฆ่าผู้อื่น ไม่มีเหตุบรรเทาโทษ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย พิพากษายืน

นายเมธัส หลานของผู้เสียชีวิต เปิดเผยว่า หลังร่วมเข้ารับฟังคำพิพากษาว่า คงจะไม่ฎีกา ปล่อยให้เป็นไปตามกฎหมาย พอใจแล้ว ส่วนชีวิตความเป็นอยู่ก็เปลี่ยนแปลงไป คนๆ หนึ่งเป็นที่รักตายจากไป สร้างบาดแผลให้เรา ตนอยากฝากเป็นอุทาหรณ์แก่ผู้ไม่บรรลุนิติภาวะ จำเลยกระทำความผิดขณะที่อายุ 18-22 ปี ศาลก็มองว่าจำเลยไม่บรรลุนิติภาวะ แต่เป็นการกระทำที่รุนแรงเกินไป จึงไม่ลดโทษให้ อยากฝากให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาเตือนใจ

ขณะที่ น.ส.ธันยชนก พี่สาวของผู้เสียชีวิต กล่าวเสริมว่า อยากให้พ่อแม่ดูแลลูกให้ดีกว่านี้ ไม่อยากให้เดินตามรอยนี้

ข่าวที่เกี่ยวข้อง 

ศาลพิพากษาจำคุก 7 วัยรุ่น คดีรุมฆ่าชายพิการขายขนมปัง 12 -19 ปี

ทนายความ คดีรุมฆ่าชายพิการ เตรียมยื่นอุทธรณ์เพิ่มโทษจำเลย