SHARE

คัดลอกแล้ว

สมาคมนักกฎหมายสิทธิฯ เปิดรายงานการวิจัยฉบับใหม่ พบ จำนวนคดีการฟ้องปิดปาก (SLAPP) ในไทยเพิ่มสูงขึ้นแปรผันตรงตามแนวโน้มการปิดกั้นเสรีภาพในการพูดที่ขยายวงไปทั่วโลก โดยพบว่าหนึ่งในสี่ของการฟ้องคดีปิดปากในไทยมาจากการโพสท์ข้อความแสดงความเห็นออนไลน์

“รายงานข้อเสนอแนะต่อการคุ้มครองผู้ใช้สิทธิและเสรีภาพเพื่อการมีส่วนร่วมในประเด็นสาธารณะจากการถูกฟ้องคดี” จากสมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน เป็นการศึกษาเรื่อง SLAPPs หรือ strategic lawsuits against public participation ที่แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า “การดำเนินคดีเชิงยุทธศาสตร์เพื่อปิดกั้นการมีส่วนร่วมสาธารณะ” หรือเรียกสั้นๆ ว่า “การฟ้องปิดปาก” ซึ่งในรายงานระบุว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายในหลายประเทศ “เพราะเป็นคดีที่เพิ่มอำนาจอย่างไม่เป็นธรรมให้คนรวยใช้คุกคามคนประชาชนที่ต้องการจะแสดงความคิดเห็นในเรื่องที่เป็นประโยชน์สาธารณะ”

ณัฐาศิริ เบิร์กแมน ผู้อำนวยการสมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชนกล่าวว่า การฟ้องปิดปากมักจะเป็นคดีที่ไม่มีมูลเหตุ ถูกออกแบบมาให้มีความซับซ้อน กินระยะเวลายาวนาน และเสียค่าใช้จ่ายราคาแพงสำหรับผู้ที่เกี่ยวข้อง ถ้าจำเลยไม่มีฐานะทางการเงินเพียงพอที่จะสู้คดี ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาก็ไม่มีทางเลือกและจำต้องยอมรับข้อเรียกร้องของโจทก์ ซึ่งมักจะมาในรูปของ การชดใช้ค่าเสียหาย การขอโทษ หรือ การลบข้อความที่ถือว่าละเมิด

การฟ้องคดีปิดปากในประเทศไทย มักจะเป็นคดีหมิ่นประมาท และเป็นที่น่าตกใจว่า คดีหมิ่นประมาทเป็นข้อกล่าวหาทางอาญา มีโทษจำคุกสูงสุดถึง 2 ปี และ ปรับ 200,000 บาท หากถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานทำให้ผู้อื่นเสียชื่อเสียง” เธอกล่าว

จากรายงานวิจัยของสมาคมฯ พบว่า ตั้งแต่ปี 2540 มีคดีปิดปากอย่างน้อย 212 คดีที่นำเข้าสู่กระบวนการศาล บางคดีในจำนวนนี้เกี่ยวข้องกับกิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ เช่น การโพสต์ข้อความบนโซเชียลมีเดีย นอกจากนี้ยังปรากฏข้อเท็จจริงว่า หนึ่งในสี่ของคดีปิดปากเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการแสดงความคิดเห็นออนไลน์ ประชาชนถูกฟ้องร้องจากความพยายามที่จะร้องเรียนเรื่องสภาพการทำงานที่ผิดกฎหมาย เรื่องการใช้ความรุนแรงของตำรวจ หรือ เรื่องผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม โดยบุคคลที่พวกเขาร้องเรียนนั่นเองเป็นโจทก์

ในรายงานระบุว่าสถานการณ์ย่ำแย่ลงเรื่อยๆ หลังจากการรัฐประหารในปี 2557 เนื่องจาก “กองทัพสร้างและใช้กฎหมายเพื่อปกป้องกลุ่มผู้มีอำนาจและกดขี่กลุ่มผู้ที่อ่อนแอรวมถึงให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของบรรษัทและรัฐบาลมากกว่าประโยชน์สาธารณะ”

“ร้อยละ 95 ของคดีฟ้องปิดปากในประเทศไทย เป็นคดีอาญา และผู้ที่เป็นจำเลยส่วนใหญ่ คือ ประชาชนทั่วไป นักเคลื่อนไหวทางการเมืองและอาสาสมัคร (39%) ผู้แทนชุมชนและแรงงาน (23%) นักปกป้องสิทธิมนุษยชน (16%) และ นักข่าว (9%) และกิจกรรมหลักที่เป็นสาเหตุสำคัญของการฟ้องร้องคือการแสดงความเห็นออนไลน์ (25%)” ณัฐาศิริกล่าว

นอกจากนี้รายงานยังระบุว่า ประสบการณ์ความชอกช้ำทางจิตใจที่เกิดจากการถูกฟ้องร้อง และต้องขึ้นศาลสร้างความหวาดกลัวและยับยั้งบรรยากาศการแสดงความคิดเห็น กลายเป็นสังคมที่มีผู้คนเพียงจำนวนน้อยที่พร้อมจะยืนหยัดเพื่อผู้คนที่เปราะบางและไม่มีปากมีเสียง

นอกจากนี้ยังกล่าวถึงกระแสโลกด้วยว่าแนวโน้มการฟ้องคดีปิดปากกำลังเพิ่มขึ้นทั่วโลก โดยมีประเทศไทยเป็นตัวอย่างให้กลุ่มคนรวยและผู้มีอำนาจทั่วโลกที่ต้องการจะปิดปากเสียงวิพากษ์วิจารณ์

เมื่อเดือนกรกฏาคมปีนี้ที่ประเทศอังกฤษ คารอล แคดวาลหลาด นักข่าวสืบสวนสอบสวนถูกฟ้องคดีหมิ่นประมาทในจากมหาเศรษฐี อารอน แบงค์ ที่ให้การสนับสนุนการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป จากบทบาทของเธอในการรายงานข่าวความเชื่อมโยงระหว่างบริษัทแคมบริดจ อะนาไลติกา กับประธานาธิบดีทรัมป์ รัสเซีย และการลงประชามติแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป

ทนายความของเธอระบุว่า เป็นคดีที่ไม่มีมูลแต่อย่างใด แต่มีวัตถุประสงค์เพื่อทำให้สถานะทางการเงินของเธอล้มละลายเพื่อให้เธอหยุดการทำข่าวสืบสวนสอบสวน ทั้งนี้ค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดีของเธออาจสูงถึงหนึ่งล้านปอนด์ หรือประมาณ 40 ล้านบาท

การฟ้องคดีปิดปากได้ถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวางในสหรัฐอเมริกาเช่นกัน หลายบริษัทได้ฟ้องคดีเพื่อบีบให้ประชาชนยุติการแสดงความเห็นด้านลบบนสื่อออนไลน์

ทางสมาคมนักกฎหมายสิทธิฯ ขอเรียกร้องให้ทางการไทยปฏิบัติตามคำมั่นที่จะยึดถือมติของสหประชาชาติว่าด้วยการคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ซึ่งไทยให้การรับรองไว้เมื่อเดือนธันวาคม 2560 และยึดถือพันธกรณีตามกฎหมายภายในประเทศและระหว่างประเทศ ที่จะป้องกันไม่ให้บุคคลใดถูกฟ้องร้องด้วยคดีความที่ไม่จริงและมีจุดประสงค์เพื่อปิดกั้นเสรีภาพการพูด ทางสมาคมฯ ยังเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกโทษทางอาญาของข้อกล่าวหาหมิ่นประมาท และให้การฟ้องร้องคดีปิดปากเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย” ณัฐาศิริกล่าวทิ้งท้าย

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า