SHARE

คัดลอกแล้ว

ต่อให้คุณจะไม่ใช่สาวกหนังอินเดีย แต่เชื่อว่าทันทีที่ได้เห็นฉากเต้นสุดอลังการผ่านมาเพียง 2-3 วินาที หรือฉากในภาพยนตร์ที่แหกทุกกฎแรงโน้มถ่วง คุณจะรู้ได้ทันทีแบบที่ไม่ต้องมีคนบอกเลยว่า หนังเรื่องนี้มีต้นกำเนิดจากอินเดียแน่นอน

ในโลกที่ประเทศต่างๆ อยากทำหนังให้สมจริง และดูอินเทรนด์มากที่สุด แต่ส่วนหนึ่งของหนังอินเดีย (แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นนะ ไม่ใช่ทั้งหมด) ยังยึดมั่นในรูปแบบเดิมต่อไป ไม่ใช่เพราะอินเดียหัวโบราณ หรือยึดติดกับวัฒนธรรมจนไม่ยอมปรับตัว

แต่ใครจะรู้ว่าในความเวอร์วัง หรือฉากเต้นสนั่นจอที่หลายคนมองว่าเป็นจุดอ่อนของวงการบันเทิงอินเดีย จะเป็นจุดแข็งที่ทำให้หนังหลายๆ เรื่องรอดพ้นวิกฤตความพังจากบท และสร้างจุดขายให้อินเดียเป็นที่จดจำในอุตสาหกรรมระดับโลก

ความยิ่งใหญ่ของอุตสาหกรรมหนังอินเดีย

หลายคนอาจจะเพิ่งมาติดตามภาพยนตร์อินเดียจากหนัง Gangubai Kathiawadi ที่ไต่สู่อันดับ 1 บน Netflix อย่างรวดเร็ว และได้รับคำชื่นชมอย่างท่วมท้นจากแฟนชาวไทยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา

แต่ Gangubai Kathiawadi ไม่ใช่ภาพยนตร์เรื่องแรกที่ประสบความสำเร็จ ก่อนหน้านี้ในปี 2561 ภาพยนตร์เรื่อง Dangal ได้ทุบสถิติการหนังอินเดีย ด้วยการเป็นภาพยนตร์อินเดียเรื่องแรกที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลและยังไม่มีเรื่องไหนมาล้มล้างได้จนถึงปัจจุบัน ความสำเร็จของ Dangal ไม่ได้อยู่แค่ในประเทศตัวเอง แต่ยังตีตลาดจีนจนแตกยับ ตอกย้ำความสำเร็จมากขึ้นไปอีกขึ้น 

อินเดียเป็นประเทศที่สร้างภาพยนตร์ในแต่ละปีมากที่สุดในโลก เฉลี่ย 1,500-2,000 เรื่อง ส่วนสหรัฐฯ เฉลี่ยอยู่ที่ 800 เรื่อง แต่ถึงอย่างนั้นสหรัฐฯ ก็ยังเป็นประเทศที่มีมูลค่าอุตสาหกรรมหนังเป็นอันดับ 1 ของโลกอยู่ดี ขณะที่มูลค่าอุตสาหกรรมหนังอินเดียอยู่ที่ 1.83 แสนล้านรูปี หรือราว 8 หมื่นกว่าล้านบาท ซึ่งตัวเลขนี้เป็นสถิติช่วงที่มีโรคระบาด และคาดว่าปีนี้จะเติบโตทะลุเลยแสนล้านบาท

ประวัติศาสตร์หนังอินเดียมีมายาวนานนับ 100 ปี หนังอินเดียเรื่องแรกเป็นสารคดียาวสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1913 หรือตรงกับ พ.ศ.2456 เทียบประเทศไทยก็คือสมัยรัชกาลที่ 6 หนังอินเดียก็ถือเป็น #SoftPower ที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งบนฐานคนดู 3,600 ล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวอินเดียในประเทศและประเทศใกล้เคียง กลุ่มคนดูชาวอินเดียที่กระจายอยู่ทั่วโลก และกลุ่มคนดูชาติอื่นๆ

จากมุมไบสู่บอลลีวูด

อินเดียเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและภาษา แต่มีภาษาหลักคือ ฮินดี (Hindi) ที่ใช้กันมากและถูกกำหนดให้ใช้ติดต่อกับรัฐบาลกลาง 

เรื่องของภาษาสำคัญกับ ‘บอลลีวูด’ อย่างไร? หนังในบอลลีวูดคือหนังที่ใช้เฉพาะภาษาฮินดีเท่านั้น จึงเป็นที่มาว่าหนังบอลลีวูดทุกเรื่องเกิดในอินเดีย แต่ไม่ใช่หนังอินเดียทุกเรื่องจะเป็นบอลลีวูด

บอลลีวูดมาจากการรวมคำระหว่าง ‘บอมเบย์’ (หรือมุมไบในปัจจุบัน) กับ ‘ฮอลลีวูด’ บอลลีวูดเป็นอุตสาหกรรมภาพยนตร์หลักของประเทศ ซึ่งมีฐานอยู่ที่เมืองมุมไบ ถามว่าเมืองนี้เป็นที่นิยมขนาดไหน อย่างในเรื่อง Gangubai Kathiawadi จะเห็นว่าคงคายอมหนีออกจากบ้านมาเพื่อหวังไปเป็นดาราดังที่มุมไบเลยทีเดียว ดังนั้นหากจะเปรียบมุมไบในสายตาคนอินเดีย ก็ไม่ต่างกับฮอลลีวูดที่นครลอสแอนเจลิสของสหรัฐฯ

ไม่ใช่แค่ชื่อเหมือนฮอลลีวูด ช่วงหลังอุตสาหกรรมบอลลีวูดยังเริ่มหันมาใช้แนวทางสร้างรายได้แบบสหรัฐฯ ด้วยการทุ่มเงินสร้างฉากสุดอลังการ และออกไปถ่ายทำที่ต่างประเทศมากกว่าแต่ก่อน ซึ่งในปี 2551-2552 ไทยติดอันดับ 1 ประเทศที่บอลลีวูดยกกองมาถ่ายทำมากที่สุด

นอกจากนี้ บอลลีวูดยังเริ่มหันมาใช้วัฒนธรรม ‘ดาราชูโรง’ ด้วยปั้นดารานักแสดงตัวท็อปเพื่อเพิ่มกระแสภาพยนตร์ให้น่าติดตามขึ้น และก็ประสบความสำเร็จไม่ใช่น้อย ซึ่งก็จะมีตัวอย่างเด่นๆ คือ Aamir Khan พระเอกจากหนัง Dangal, PK, 3 idiots, Hrithik Roshan หรือที่แฟนคลับคนไทยเรียกติดปากกันมา“พี่ติ๊ก” รวมถึง Ranbir Kapoor พระเอกดังสามีของนางเอกสาว Alia Bhatt ที่สวมบทเป็นคังคุไบ

ไม่ใช่แค่สร้างหนัง บอลลีวูดยังเป็นแหล่งกำหนดเทรนด์ต่างๆ ในสังคมอินเดีย ทั้งดนตรี รวมถึงแฟชั่น ซึ่งก็เหมือนหลายๆ ประเทศ เมื่อสิ่งใดได้รับความนิยมขึ้นมา มันก็กระตุ้นให้เกิดรายได้ในวงกว้าง เสื้อผ้าที่เป็นกระแสก็จะพลอยขายดี หรือเพลงที่อยู่ในแวดวงเดียวกันก็ได้รับความนิยมมากขึ้นด้วย

พลิกจุดอ่อนให้เป็นจุดแข็ง

จริงๆ หนังอินเดียในปัจจุบันมีความหลากหลายไม่ต่างกับชาติอื่นๆ หนังสะท้อนสังคมอย่าง Gangubai Kathiawadi ก็ทำได้ดี ส่วนหนังแนวทริลเลอร์ก็ทำออกมาได้น่าสะพรึงไม่แพ้หลายๆ ชาติ (แล้วไม่ฝืนใส่ฉากเต้นไปให้คนดูขัดเขิน)

แต่ถึงอย่างนั้น การเต้นรำก็ยังเป็นหนึ่งในอัตลักษณ์ของหนังอินเดียที่คนทั่วโลกจำได้อย่างดี ซึ่งชาวอินเดียเองก็เติบโตกับวัฒนธรรมที่ฝังรากลึกนี้มายาวนาน จนมองว่านี่เป็นส่วนหนึ่งในภาพยนตร์ที่ขาดไม่ได้  

ตามจริงแล้ว การเพิ่มฉากเต้นรำ เดิน วิ่ง และร้องเพลงเข้ามาในภาพยนตร์เป็นการวาง ‘ภาษาหนัง’ ของผู้กำกับที่ต้องการให้คนดูเข้าใจความรู้สึกของตัวละครมากขึ้น และอีกส่วนหนึ่งคือต้องการพาผู้ชมออกจากโลกแห่งความเป็นจริง และเสพสุขกับความบันเทิงที่ไร้ขีดจำกัด ซึ่งนี่กลายมาเป็นเหตุผลเดียวกับที่อินเดียทำหน้าแอคชั่นโอเวอร์ไปบ้าง

อินเดียเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยและคนจนสูง คนจนต้องเผชิญกับความตึงเครียดทางสังคม เศรษฐกิจ การว่างงาน ต้องอาศัยในย่านแออัด ปัจจัยพวกนี้หล่อหลอมให้ชาวอินเดียชื่นชอบการดูหนังที่ท้าทายกฎฟิสิกส์ เพราะมันทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนได้พักจากชีวิตประจำวันอันตึงเครียดชั่วขณะ

 

สิ่งที่ผู้กำกับนำเสนอไม่ว่าจะเป็นฉากร้องทำทำเพลง หรือฉากแอคชั่นสุดสะพรึง นั้นออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการและชีวิตความเป็นอยู่ของคนในชาติ สร้างขึ้นเพื่อให้พวกเขามีโอกาสได้ผ่อนคลายจากชีวิตที่ตึงเครียด นอกจากนี้ ด้วยความที่ชาวอินเดียผูกพันกับการร้องรำทำเพลงมาอย่างยาวนาน  การได้เห็นฉากเต้นอลังการยังทำให้ชาวอินเดียรู้สึกว่าเงินที่พวกเขาจ่ายไปนั้นคุ้มค่ากับตัวภาพยนตร์

 

ฉากเต้นรำจากเหตุผลทางศิลปะสู่พาณิชย์ศิลป์

ที่น่าสนใจคือ แม้บางครั้งการแทรกฉากเต้นรำเข้ามาจะทำให้หนังเดินเรื่องช้าลง แถมยังโดนคนนอกวิจารณ์อยู่บ่อยๆ แต่นอกจากเรื่องวัฒนธรรม ฉากเต้นรำในอินเดียยังมีเหตุผลทางการตลาดและการขายสอดแทรกอยู่ด้วย

บ่อยครั้งที่ฉากเต้นรำในภาพยนตร์ช่วยให้หนังธรรมดาๆ ที่ไม่น่าสนใจ ทำรายได้สูงเทียบเท่างานมาสเตอร์พีช เพียงเพราะดนตรีและฉากเต้นได้ใจคนดู หนังบางเรื่องลงทำทุนฉากเต้นไม่ต่างจากมิวสิควิดีโอสวยๆ เพื่อให้หนังสามารถนำไปต่อยอดสร้างรายได้ได้อีกทาง ก็เหมือนกับซีรีส์เกาหลีที่หากเรื่องไหนประสบความสำเร็จ ก็จะขายได้ทั้งละคร และเพลงที่ดังไปทั่วเอเชียมาแล้ว

ไม่ใช่แค่นั้น อยากที่เราเคยได้ยินคำว่า ‘ดนตรีไร้พรมแดน’ การแทรกฉากเต้นรำ ร้องเพลงเข้าไปยังทำให้คนดูต่างวัฒนธรรมเปิดรับการร้องเพลงเต้นรำในหนังอินเดียมากขึ้น ดังนั้นแม้ว่าบางครั้งการใส่ฉากเต้นรำ ร้องเพลงจะทำให้คนดูเบื่อหน่าย แต่ในแง่ของการตลาดก็คุ้มค่าที่จะแลกอยู่ไม่ใช่น้อย

ความบันเทิงที่ทุกคนเข้าถึงได้

สิ่งที่ทำให้อุตสาหกรรมหนังอินเดียเติบโตและแข็งแกร่งไม่ใช่แค่บทหนังหรือเพลง อย่างที่บอกไปฐานคนดูหนังอินเดียครึ่งหนึ่งจากทั้งหมดนั้นเป็นคนในประเทศด้วยกันเอง และคนอินเดียส่วนใหญ่ยังมีฐานะยากจน ดังนั้นการรักษาฐานคนดูให้แข็งแรงแบบนี้ต่อไป ต้องทำให้ประชาชนส่วนใหญ่เข้าถึงการชมภาพยนตร์ด้วยราคาตั๋วที่ไม่ขัดกับค่าครองชีพ

ราคาตั๋วหนังในอินเดียนั้นถูกมาก เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 75 รูปีหรือราวๆ 33 บาท หรือราคาถูกสุดแค่ประมาณ 40 รูปีหรือ 17 บาทเท่านั้น ซึ่งก็จะมีการแบ่งเกรดตามลักษณะโรงหนังที่มีตั้งแต่ธรรมดา ไปจนถึง VVIP แต่ก็จะไม่สูงกว่าราคามาตรฐานอยู่ดี เพื่อให้ประชาชนทุกชนชั้นสามารถเข้าถึงสื่อบันเทิงเหล่านี้ได้

 

หนังอินเดียช่วยให้คนรู้หนังสือ

นอกจากในเชิงพาณิชย์ ในเชิงสังคม หนังอินเดียยังช่วยชาติด้วยการเป็นสื่อสอนหนังสือให้กับประชาชน มีรายงานระบุว่า หนังบอลลีวูดถูกนำมาเป็นสื่อกลางสอนภาษาในแต่ละรัฐ และมีส่วนช่วยให้อัตราการรู้หนังสือของชาวอินเดียเพิ่มขึ้น 1 ใน 3 ของประเทศเลยทีเดียว

อย่างที่รู้กัน อินเดียเป็นประเทศใหญ่ มีหลายชาติพันธุ์ที่พูดหลายภาษา แต่ภาษากลางคือฮินดี ซึ่งหนังอินเดียเป็นตัวกลางชั้นดีที่จะช่วยให้ชาวชนบทหันมาสนใจและเรียนรู้ภาษาฮินดีทางอ้อมโดยไม่ต้องบีบบังคับ เรียกว่าได้ประโยชน์ทั้งขึ้นทั้งร่อง อุตสาหกรรมหนังก็เติบโต ประชาชนก็ได้รับการศึกษาไปในตัวด้วย

ภายนอกภาพยนตร์อาจเป็นแค่สื่อที่ให้ความบันเทิงกับคนดู แต่ประสบการณ์จากหลายๆ ประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกาหลีใต้ แสดงให้เห็นแล้วว่าความบันเทิงสามารถแปรเปลี่ยนเป็นเสาหลักพัฒนาประเทศได้หากได้รับการผลักดันให้ถูกวิธี 

นอกจากนี้สิ่งที่ทุกบันทึกในภาพยนตร์ยังเป็นตัวแทนภาพฉายของประวัติศาสตร์แต่ละยุคสมัย อย่างเช่น หนังอินเดียเองก็มีวิวัฒนาการยึดโยงกับบริบทการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ภาพยนตร์หลายเรื่องจึงออกมาในแง่กรีดแทงเสียดสีเหตุการณ์ต่างๆ ในอดีต ซึ่งหนึ่งในประเด็นที่ถูกนำมาอธิบายสังคมอินเดียมากที่สุด คือ อินเดียมักจะเขียนบทให้ตำรวจรับบทเป็นผู้ร้าย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงระบบอยุติธรรมของประเทศที่ยังเป็นปัญหามาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

ดังนั้น หนังอินเดียจึงไม่ได้มีแค่ความบันเทิง หรือเสียงดนตรี มันยังเป็นเงินที่ช่วยพัฒนาประเทศ และเป็นปากเสียงแทนประชาชนที่ไม่สามารถสื่อสารออกมาตรงๆ ได้ด้วย

 

อ้างอิง

https://www.statista.com/…/value-of-the-film…/…

https://www.statista.com/…/india-best-paid-male-actors…/

https://www.masterclass.com/articles/what-is-bollywood…

https://news.sonoma.edu/…/10-things-you-didnt-know…

https://theopinionatedindian.com/…/Top-5…/cid6425517.htm

 

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า