แชร์บทความ คัดลอกแล้ว

SHARE

คัดลอกแล้ว

“ถ้านึกเหมือนว่าเขากำลังสร้างหนังเรื่องนึง เพื่อให้ตระกูลเขาเป็นวีรบุรุษ เขาพล็อต (วางโครงเรื่อง) กันไว้หมดแล้ว” ความขัดแย้งเรื่องพื้นที่ระหว่าง ไทย-กัมพูชา ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก แต่ในช่วงเดือนที่ผ่านมา สถานการณ์คุกรุ่น จนทำให้เกิดการปะทะ นำไปสู่การเสียเลือดเนื้อ ทั้งทหารและพลเรือนนั้น

 

เป็นไปได้หรือไม่ที่การปะทะครั้งนี้ จะเป็นแผนที่ถูกวางเอาไว้เพื่อปลุกระดมความรักชาติ? ข้อครหานี้เกิดขึ้น เมื่อเทียบไทม์ไลน์ความขัดแย้ง แล้วดูเหมือนเหตุปะทุขึ้น ในช่วงก่อนที่กัมพูชาจะมีการเลือกตั้ง อีกทั้งถูกมองว่า สาเหตุที่ทำให้เรื่องราวบานปลาย เป็นเพราะว่า ‘ตระกูลฮุน’ อาจไม่เหลือเวลามากนัก

รายการ TODAY LIVE โดยสำนักข่าว TODAY มีโอกาสพูดคุยกับ ทรงฤทธิ์ โพนเงิน อาจารย์พิเศษโครงการอาเซียนศึกษา คณะสังคมศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ มาร่วมไขข้อสงสัยเหล่านี้

[‘ปลุกชาตินิยม’ หนุนผลเชิงบวก เลือกตั้งภายในกัมพูชา]

เริ่มต้นการพูดคุย อ.ทรงฤทธิ์ ปูพื้นให้เห็นหน้าประวัติศาสตร์กัมพูชา ที่ระบุชัดถึง 2 ชาติพันธุ์ ที่คนกัมพูชา ‘อย่าไปรัก’ เนื่องจาก มองว่าเอาเปรียบและเบียดบังเอาของกัมพูชาไป นั่นคือ ประเทศไทย และประเทศเวียดนาม จนต่อมา เกิดคำเรียกคนสยามว่า ‘เสียม’ อันหมายถึง ‘พวกหัวขโมย’ และเรียกคนเวียดนามว่า​ ‘ญวน’ หมายถึง ‘พวกขี้เรื้อน’

การฝังรากชาตินิยมมาอย่างยาวนานลักษณะนี้ ทำให้ความขัดแย้งระหว่างกัมพูชากับไทย หรือเวียดนาม สามารถจุดกระแสชาตินิยมกลับมาได้เสมอ โดย อ.ทรงฤทธิ์ ตั้งข้อสังเกตว่า ความขัดแย้งระหว่างประเทศกัมพูชากับประเทศเพื่อนบ้าน มักเกิดขึ้นในช่วงปีที่กำลังใกล้จะมีการเลือกตั้ง ซึ่งเกิดขึ้นทุกๆ 5 ปี 

อย่างที่ อ.ทรงฤทธิ์ ยกตัวอย่างในปี 2003 ที่มีเลือกตั้ง ก็มีปล่อยข่าวโยงกับเรื่องปราสาทพระวิหาร นครวัด นครธม จนเกิดการเผาสถานทูตไทยในกัมพูชาขึ้น เช่นเดียวกับ การยกประเด็นมรดกโลกกลับมาพูดถึง ในช่วงปี 2008 ที่มีการเลือกตั้ง กระทั่งนำเรื่องฟ้องศาลโลกในปี 2013 ล้วนเป็นปีที่มีการเลือกตั้งทั้งสิ้น

ขณะที่ปี 2017 หนึ่งปีก่อนหน้าการเลือกตั้ง ก็มีการจุดประเด็นความขัดแย้งในพื้นที่ท้ายน้ำโขง ที่เชื่อมจากลาวมากัมพูชาในจังหวัดสตึงแตรง 

ถึงตอนนี้ อีกราว 2 ปี การเลือกตั้งกัมพูชาจะกลับมาอีกครั้ง จึงเป็นที่มาให้ อาจารย์พิเศษโครงการอาเซียนศึกษารายนี้ ตั้งข้อสังเกตว่า ความขัดแย้งเรื่องดินแดนไทย-กัมพูชา กลายเป็นเรื่องที่หยิบยกมาปลุกกระแสชาตินิยมในชาติอีกครั้ง 

แต่ในครั้งนี้ ขยายกว้างกว่าครั้งก่อนๆ เนื่องจาก อ.ทรงฤทธิ์ มองว่า นี่คือ ‘การเดิมพันครั้งสุดท้าย’ ของตระกูล ฮุน เซน ด้วยการสร้างวงศ์ตระกูลของเขา ให้เป็นวีรบุรุษแห่งชาติ

[เจาะภารกิจสุดท้าย  สืบทอดตระกูล ‘ฮุน’]

กัมปูเจียชนะไทย สมัยเตโชธิบดี” ข้อความภาษากัมพูชา บนโปสเตอร์ที่ถูกออกแบบมา และส่งต่อกันในโลกออนไลน์ฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ต่างกับการโปรโมตภาพยนตร์ โดยไม่มีที่มาที่ไปอย่างชัดเจน 

มองผิวเผินอาจเป็นเพียงการสร้างความสามัคคีในชาติ แต่ด้วยความหมายที่แปลตรงตัวว่า ‘กัมพูชาชนะไทย ในสมัยของสมเด็จ ฮุน เซน’ อ.ทรงฤทธิ์ จึงมองว่า อาจมีนัยที่มากกว่านั้น แคมเปญลักษณะดังกล่าวนี้ อ.ทรงฤทธิ์ มองว่า เป็นสิ่งที่ครอบครัว ฮุน เซน ต้องการจะสร้างภาพลักษณ์ผ่านสื่อที่ลูกสาวของเขาเป็นผู้ควบคุม

เช่นเดียวกับ สื่อโทรทัศน์กัมพูชาสั่งแบนละครไทย และฉายซ้ำละคร ‘ลูกผู้ชายในคืนพระจันทร์วันเพ็ญ’ (​​The Son Under the Full Moon) ที่สร้างอิงเรื่องราวของ ‘ฮุน เซน’ กับการเกิดของลูกชาย ‘ฮุน มาเนต’ นายกรัฐมนตรีกัมพูชาคนปัจจุบัน ไม่เว้นกระทั่ง การสร้างเพลงประจำตัวของคนในครอบครัว เพื่อแทรกซึมเข้าไปยังกิจกรรมในโรงเรียน ล้วนแต่มีเป้าหมายไปในทิศทางเดียวกัน

“สร้างวีรบุรุษ สร้างลูกให้เป็นวีรบุรุษ นอกจากว่าจะทำให้ตัวเองเป็น Strong man แล้ว ลูกฉันเนี่ยก็เก่งกล้าสามารถ เห็นไหมครับ ตอนเขากลับจากกัวลาลัมเปอร์ เขาถ่ายทอดหมดแหละ บอกว่าเขาสำเร็จนะ เขาเป็นคนพิทักษ์รักษาชีวิตคน เขารักษาสันติภาพนะ” อ.ทรงฤทธิ์ กล่าว 

อ.ทรงฤทธิ์ มองว่า ด้วยเวลาที่เหลืออยู่ไม่มาก เนื่องจากปัญหาสุขภาพของ ‘ฮุน เซน’ สิ่งที่อยู่ในสายตาของผู้นำกัมพูชาทั้งเบื้องหน้า และเบื้องหลังรายนี้ จึงเป็น ‘ประวัติศาสตร์ทางการเมือง’ ที่จะกำหนดอนาคตคนทั้งตระกูล

สำหรับ ตระกูลของ ‘ฮุน เซน’ เป็นที่ทราบกันว่า ถูกปลุกปั้นให้กระจายอยู่ทั้งแทบทุกวงการ ทั้งทหาร การเมือง การทูต รวมถึงสื่อมวลชน ดังนั้น หากหัวหน้าครอบครัวล้ม ทั้งตระกูลก็อาจจะตกระกำลำบาก หรือล้มทั้งหมด

“ตอนนี้สิ่งที่เขาหวังก็คือ ประชาชนเนี่ยต้องมาเป็นเกราะกำบังให้ตระกูลเขา ใครมาท้าทายอำนาจตระกูลเขาเนี่ย ประชาชนก็จะเป็นเกราะกำบังให้” 

อ.ทรงฤทธิ์ กล่าวพร้อมอธิบายว่า ฮุน เซน มองประเทศกัมพูชา ‘เป็นของเขา’ แต่การที่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวน เพิ่งขึ้นเป็นนายกฯ เมื่อปี 2023 ที่ผ่านมา และยังไม่มีประสบการณ์รับมือวิกฤตมากพอ มิหนำซ้ำยังอาจต้องเผชิญกับคลื่นใต้น้ำ หากวันที่ไม่มี ‘ฮุน เซน’ เดินทางมาถึง ย่อมไม่ใช่เรื่องที่ดี

[นิสัย ‘ฮุน เซน’ หักหลังได้ทุกคน]

กลับมาที่สถานการณ์ไทย ตลอดเกือบ 2 เดือนมานี้ ความขัดแย้งกับกัมพูชา ในวันที่รัฐบาลอยู่ใต้การนำของพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะ นายกฯ ชินวัตร ถือเป็นเรื่องน่าแปลกใจของสังคมไม่น้อย

สืบเนื่องจาก เป็นที่รู้กันดีว่าตระกูลชินวัตร ที่นำโดย อดีตนายกฯ​ ทักษิณ ชินวัตร นับว่ามีความสัมพันธ์อันดีกับ ฮุน เซน และมีภาพปรากฏให้เห็นหลายครั้งหลายหน ต่างฝ่ายต่างเยี่ยมเยือนกัน ไม่เว้นกระทั่งการกลับเมืองไทยในรอบ 17 ปี ฮุน เซน ยังเดินทางมาหาถึงไทย

ทว่า อ.ทรงฤทธิ์ ตอบข้อสงสัยของความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไป ด้วยการเริ่มต้นเล่า ‘ตัวต้น’ ของ ฮุน เซน เพื่อจะชี้ให้เห็นว่า ‘การหักกัน’ ในครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ

“ฮุน เซน เติบโตมาจากกองศพ ไม่ใช่กองเงินกองทอง เพราะฉะนั้นนับประสาอะไร คนที่โลภมาก อยากได้ลาภเยอะๆ ก็ต้องแลก”

อ.ทรงฤทธิ์ ฉายภาพให้เห็นถึงความทะเยอทะยาน ของ ฮุน เซน ซึ่งนอกจากที่ผ่านมาจะ ‘กำจัด’ ผู้มีความเห็นต่างออกนอกประเทศ ยังเกิดการรวบอำนาจกองทัพ ย้ายกำลังพล และนำเอาคนของตนเองขึ้นดูทหารทั้งหมด

“คนที่มาแทน ตั้งแต่ปี 2018 เนี่ย คนของ ฮุน เซน หมดเลย แต่คนที่เขาถูกปลดไปเนี่ยเขาจะดีใจไหมล่ะ เขาก็ต้องรอจังหวะใช่ไหม เพราะฉะนั้น ทุกวันนี้ ฮุน เซน ก็ไม่มั่นใจ เขาไม่แสดงออก ที่สำคัญก็คือว่าฝ่ายค้าน ที่เขาไม่สามารถแสดงออกได้ นี่คือจุดที่ ฮุน เซน กลัวที่สุด” อ.ทรงฤทธิ์ กล่าว 

ไม่ใช่แค่สถานการณ์ในประเทศ แต่ อ.ทรงฤทธิ์ ชวนมองย้อนถึง การขึ้นเป็นนายกฯ กัมพูชา ของ ฮุน เซน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมี ‘เวียดนาม’ หนุนหลัง ภายหลังจากที่ลี้ภัยจากสงครามเขมรแดง

ทว่า เมื่อเขาเป็นใหญ่ ก็เกิดประเด็นที่ทำให้แตกหักกับเวียดนาม นั่นคือการขุดคลองฟูนันเตโช ที่ส่งผลต่อประเทศที่อยู่ท้ายน้ำโขงอย่างเวียดนาม จนทำให้คนเวียดนามด่าเขาว่าเป็น ‘ไอ้เนรคุณ’

“คนใกล้ตัวเขาเนี่ยเขาหักหลังหมดเลยนะครับ ถ้าเป็นศัตรู คือกำจัด แต่ถ้ายอมก็เป็นรองฉัน” อ.ทรงฤทธิ์ กล่าว

[อำนาจล้นฟ้า ถึงขั้นเลือกกษัตริย์เองได้]

อ.ทรงฤทธิ์ เล่าต่อว่า ถึงแม้ว่า ‘ฮุน เซน’ จะยกตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ให้ลูกชายสืบทอดเป็นที่เรียบร้อย แต่เขายังคงนั่งอยู่บน 3 เก้าอี้สำคัญ คือ ประธานวุฒิสภา ประธานองคมนตรี และประธานสภาที่ปรึกษาสูงสุดราชบัลลังก์

โดยตำแหน่ง ‘ประธานสภาที่ปรึกษาสูงสุดราชบัลลังก์’ นี่เอง ที่ทำให้ ฮุน เซน เป็นผู้ที่ถืออำนาจในการเลือกคนมาเป็นกษัตริย์กัมพูชาได้ อ.ทรงฤทธิ์ อธิบายว่า เดิมที่คนที่ปรารถนาเป็นกษัตริย์ต่อจาก พระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ ตามที่ปรากฏให้ทราบ คือ สมเด็จกรมพระนโรดม รณฤทธิ์ 

อย่างไรก็ดี เป็นที่รู้กันว่า สมเด็จกรมพระนโรดม รณฤทธิ์ นับเป็นคู่แข่งทางการเมือง ของ ‘ฮุน เซน’ ทำให้สุดท้ายเขาเลือกคนที่ “มีพิษมีภัยน้อยที่สุด” คือ พระบาทสมเด็จพระบรมนาถ นโรดม สีหมุนี ถึงได้มีภาพกษัตริย์ยกมือไหว้ ฮุน เซน ออกมาให้เห็น เป็นการตอกย้ำอำนาจในมือของตระกูลนี้ 

แม้กระทั่ง ‘ตระกูลเตีย’ อย่าง ‘เตีย เซ็ยฮา’ ลูกชายของ ‘เตีย บัญ’ ทหารที่สู้มากับ ฮุน เซน ก็ถูกย้ายจากการเป็นทหาร ไปเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดเสียมเรียบถึง 5 ปี ระหว่างที่เขาดำเนินการควบคุมกองทัพได้หมด

อ.ทรงฤทธิ์ กล่าวว่า ผู้ที่มีความเห็นต่าง ล้วนไม่มีที่ยืนในประเทศ ต้องลี้ภัยออกไป หรือไม่ก็เลือกที่จะ ‘ไม่แหลม’ ไม่อย่างนั้นอาจถูกจับ และดำเนินคดีอย่างเร่งรัด จนสามารถส่งเข้าตารางได้ภายใน 1 วัน

การพยายามปูพรมให้ลูก และตระกูลได้เดินต่ออย่างสบายใจนี้ อ.ทรงฤทธิ์ มองว่า อาจเป็นการแข่งกับเวลาชีวิตที่เหลืออยู่ของ ฮุน เซน และหากไม่สำเร็จก็อาจจะเป็นฉากสุดท้ายของตระกูล ในเส้นทางการเมืองกัมพูชาเช่นกัน ดังนั้น การหยิบยกเอากระแสชาตินิยมมาปลุกระดม จึงเป็นเส้นทางการสร้างความศรัทธา

“(ฮุน มาเนต) ก็ไม่ได้มีประสบการณ์อะไรครับ (พ่อ) ปูพรมไว้ให้แล้ว เดินอย่างสบายใจ ไม่เคยเจอวิกฤตอะไร…ก็พ่อสร้างให้ไงเพื่อคุณจะได้เป็นฮีโร่ เพื่อที่คนจะได้ศรัทธาว่าคุณคือฮีโร่ ถึงพ่อตายแล้ว ฮุน มาเนต ก็ยังแทนพ่อได้อะไรประมาณนั้น” อ.ทรงฤทธิ์ กล่าว

[หนังเรื่องนี้ ไทยต้องอย่าเป็นตัวประกอบ]

ท่ามกลางแคมเปญสุดท้ายที่ ‘ฮุน เซน’ พยายามสร้างขึ้น อ.ทรงฤทธิ์ มองว่า หน้าที่ของรัฐบาลไทย ในช่วงเวลาที่ความขัดแย้งระหว่างประเทศถูกปลุกระดม ด้วยแนวคิดชาตินิยมนี้ คือการทำให้ทุกอย่างโปร่งใส และเป็นมาตรฐานสากลเข้าไว้ อย่าไปทำนอกลู่นอกทาง เหมือนเช่นตระกูล ฮุน เซน ทำ 

อ.ทรงฤทธิ์  ย้ำว่า ไทยต้องสื่อสารกับโลก ไม่ต้องตอบโต้กลับ เพราะเขาไม่ได้ต้องการสื่อสารกับใคร แต่ทำเพื่อให้คนกัมพูชาเคารพ ศรัทธา และยกย่องตระกูลฮุน

อย่างไรก็ตามท่ามกลางกระแสชาตินิยม ปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่ใช่เพียงแค่ฝั่งกัมพูชาที่ถูกปลุกขึ้นมา แต่ชาวไทยเองก็ถูกปลุกขึ้นเช่นกัน แม้ว่าจะเป็นเพราะความรักประเทศชาติ แต่ในที่สุดแล้วนี่อาจจะเป็นเพียงแค่ฉากหนึ่งในภารกิจสุดท้ายที่วางไว้

“เพราะฉะนั้นเราก็อย่าไปอยู่ในเกมนะครับ อย่าไปเป็น คือถ้านึกเหมือนว่าเขากำลังสร้างหนังเรื่องนึง เพื่อให้ตระกูลเขาเป็นวีรบุรุษ เขาพล็อต (วางโครงเรื่อง) กันไว้หมดแล้วว่า ใครเล่นเป็นอะไร ใครตำแหน่งไหน เราก็อย่าไปเป็นตัวประกอบให้” อ.ทรงฤทธิ์ กล่าวทิ้งท้าย

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า