SHARE

คัดลอกแล้ว

ในที่สุดคดีที่อื้อฉาวที่สุดในประวัติศาสตร์เกาหลีใต้ก็ได้ข้อสรุป หลังจากคณะกรรมการตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดอง (The Truth and Reconciliation Commission) เผยแพร่ผลการสืบสวนกรณีละเมิดสิทธิมนุษยชนเด็กทารกชาวเกาหลีใต้ ที่ถูกส่งออกไปเป็นลูกบุญธรรมของชาวต่างชาติ ในช่วงทศวรรษที่ 1950

ผลที่ออกมา คณะกรรมการฯ ชี้ว่า รัฐบาลเกาหลีใต้มีส่วนต้องรับผิดชอบต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนเด็กจำนวนมาก ที่ถูกส่งออกไปเป็นลูกบุญธรรมของชาวต่างชาติในช่วงเวลาดังกล่าว

ฐานปล่อยปะละเลยให้มีการทุจริตเกิดขึ้นเป็นวงกว้าง ทั้งการปลอมแปลงสูติบัตร, รายงานเท็จว่าเด็กถูกทอดทิ้งและละเลยการตรวจสอบประวัติของผู้มาขอรับเลี้ยงเด็กอย่างเหมาะสมจนทำให้เกิดธุรกิจส่งออกเด็กขึ้นมาอย่างเป็นล่ำเป็นสันสร้างรายได้ให้กับบริษัทเอกชนเป็นเงินมหาศาล

โดยคณะกรรมการฯ ประเมินว่า ตั้งแต่สิ้นสุดสงครามเกาหลี และสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งทำให้เกาหลีใต้ต้องพยายามฟื้นฟูประเทศขึ้นมาจากความเสียหายอย่างหนัก มีเด็กชาวเกาหลีใต้มากกว่า 200,000 คน ถูกส่งไปอยู่ภายใต้การอุปการะเลี้ยงดูของครอบครัวชาวต่างชาติ ส่วนใหญ่ในสหรัฐอเมริกาและยุโรป

จนเป็นที่มาของการขนานนามให้เกาหลีใต้เป็นหนึ่งในประเทศผู้ส่งออกทารกรายใหญ่ที่สุดในโลก การส่งออกทารกไปเป็นลูกบุญธรรมในเกาหลีใต้เพิ่งจะลดลงในช่วงทศวรรษที่ 2010 ที่ผ่านมาหลังรัฐบาลแก้กฎหมายการรับบุตรบุญธรรม

 

ย้อนดูจุดเริ่มต้นคดี

คณะกรรมการตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดอง เปิดการสืบสวนคดีนี้มาตั้งแต่ปี 2022 โดยจุดเริ่มต้นมาจากเด็กๆชาวเกาหลีใต้ที่มีครอบครัวชาวต่างชาติรับอุปการะไปซึ่งตอนนี้โตเป็นผู้ใหญ่แล้วและพยายามสืบหาต้นกำเนิดของตัวเอง

สืบไปสืบมาพวกเขากลับพบว่ากระบวนการที่ส่งพวกเขาไปอยู่กับครอบครัวอุปการะในต่างประเทศไม่ได้ดำเนินไปอย่างถูกต้องมีการทุจริตมากมายบางกรณีเลวร้ายถึงขั้นเป็นการพรากลูกพรากแม่โดยไม่ได้รับการยินยอมจนนำไปสู่การร้องเรียนเป็นร้อยคดี

โดยพวกเขาส่วนใหญ่ให้เหตุผลแม้มุมมมองจากโลกภายนอกจะมองว่าการได้รับอุปถัมภ์โดยครอบครัวในต่างประเทศจะเป็นเรื่องดีต่อตัวของพวกเขาทำให้ได้มีชีวิตใหม่ไม่ต้องเผชิญกับยากจนในช่วงเวลาที่เกาหลีใต้กำลังลำบาก

แต่สำหรับพวกเขาแล้วมีบริบทที่ซ้ำซ้อนกว่านั้นมากพวกเขาก็เป็นเหมือนกับคนอื่นๆ ที่อยากรู้ว่าพื้นเพของครอบครัวที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร และพ่อแม่ท่ีแท้จริงของพวกเขาต้องเผชิญกับความทุกข์ยากมากขนาดไหนในช่วงหลังสงคราม

แต่เอกสารรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมที่เรามีอยู่ ไม่ได้มีข้อมูลสำคัญอะไรที่ทำให้เราสามารถรู้พื้นเพ ประวัติความเป็นมาของตัวเองได้เลยซูซานเน่ซองอึนเบิร์กสเตนชาวเกาหลีใต้ที่ได้รับอุปการะจากครอบครัวในสวีเดนกล่าว

อย่างไรก็ตามกรณีของซองอึนเธอโชคดีที่ในที่สุดก็ได้พบกับครอบครัวที่แท้จริงของตัวเองในเกาหลีใต้ต่างจากเด็กอีกหลายคนที่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่ได้รู้เลยว่าพ่อแม่ที่แท้จริงของพวกเขาเป็นใคร

ซ้ำร้ายกว่านั้นพวกเขาหลายคนยังต้องอยู่กับความจริงที่เป็นฝันร้ายซึ่งตามหลอกหลอนอยู่ตลอดเพราะพวกเขาต่างก็รู้ดีว่าคำพูดสวยหรูที่เคยได้ยินว่าแม่ชาวเกาหลีเลือกสละลูกให้คนอื่นด้วยความสมัครใจเป็นแค่คำหลอกลวง

 

ความเจ็บปวดที่ต้องยอมรับ

หลังจากคณะกรรมการตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองของเกาหลีใต้ ใช้เวลาสอบสวนนานกว่า 2 ปี ด้วยการลงพื้นที่ ตรวจสอบสถานรับเลี้ยงเด็ก 3 แห่งในเมืองแทกูและเซจง ซึ่งมีข้อมูลว่า สถานรับเลี้ยงเด็กทั้ง 3 แห่งนี้ เคยส่งเด็กรวมกันกว่า 20 คน ให้กับบริษัทจัดหาบุตรบุญธรรมในช่วงปี 1985-1986 เพื่อส่งต่อให้กับครอบครัวอุปการะในออสเตรเลียนอร์เวย์และเดนมาร์ก

ผลการสืบสวนพบว่า สถานรับเลี้ยงเด็กบังคับให้แม่ของเด็กๆ สละสิทธิ์การเป็นพ่อแม่ เพื่อส่งลูกของพวกเขาให้กับครอบครัวอุปการะ บางครั้งพวกเขาไปพรากทารกออกจากอกแม่ในวันที่พวกเขาเกิด หรือหลังจากนั้นแค่วันเดียว   

โดยคณะกรรมการฯพบหลักฐานว่ามีการบันทึกข้อมูลเท็จและรายงานเท็จว่าเด็กที่ได้รับการอุปการะถูกพ่อแม่ทอดทิ้งทั้งที่ความจริงพ่อแม่ของเด็กๆไม่ได้เต็มใจให้ลูกของพวกเขาเข้าสู่กระบวนการรับบุตรบุญธรรม

ยิ่งไปกว่านั้นยังมีปัญหามากมายที่ปรากฏออกมาเช่นการคัดกรองพ่อแม่บุญธรรมไม่ดีพอจนเป็นสาเหตุที่ทำให้เด็กบางคนถูกปล่อยปะละเลยและบางกรณีมีการกดดันให้พ่อแม่บุญธรรมชาวต่างชาติต้องจ่ายเงินเพื่อรับลูกบุญธรรมาเลี้ยง

คณะกรรมการฯ อธิบายว่าปัญหาส่วนหนึ่ง เป็นเพราะการรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมส่วนใหญ่ ดำเนินการโดยหน่วยงานเอกชน ซึ่งต้องพึ่งพาเงินบริจาค โดยไม่ผ่านการควบคุมของรัฐบาล เมื่อหน่วยงานรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมต้องพึ่งพาเงินบริจาคจากพ่อแม่บุญธรรม หน่วยงานเหล่านั้นจึงถูกกดดันให้ต้องส่งเด็กไปต่างประเทศเพื่อให้กิจการดำเนินต่อไปได้ โครงสร้างแบบนี้จึงทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดการรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมอย่างผิดกฎหมายเพิ่มขึ้น

การละเมิดเหล่านี้ไม่ควรเกิดขึ้น นี่คือเรื่องที่น่าอับอายในประวัติศาสตร์ของเราพัก ซุนยองประธานคณะกรรมการตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองของเกาหลีใต้กล่าวขณะแถลงข่าว

มาร์ก แซสโตรว์ เด็กชาวเกาหลีที่ไปเติบโตในสหรัฐฯ บอกกับ CNN นี่เป็นการค้นพบที่มีความสำคัญต่อชีวิตของพวกเขามาก

สิ่งนี้ ยืนยันเรื่องที่พวกเรา เด็กที่รับอุปถัมภ์ชาวเกาหลีรับรู้กันมานานหลายทศวรรษในกลุ่มพวกเรา.. ว่าเรื่องที่ถูกเล่าขานมาว่าแม่ชาวเกาหลีเต็มใจยกลูกให้คนอื่น เป็นแค่เรื่องแต่งแซสโตรว์ระบุ

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า