ปีสุดท้ายของกองทุน SSF ถ้ารัฐไม่ประกาศต่ออายุ

หากภาครัฐยังไม่มีการประกาศต่ออายุโครงการเพิ่มเติม ปีนี้จะกลายเป็นปีสุดท้ายของกองทุน SSF หลังออกมาในปี 2563 เพื่อทดแทนกองทุน LTF ที่ปิดตัวลงไปในปี 2562 

TODAY Bizview ขอสรุปภาพรวมของกองทุน SSF ตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมาแบบเข้าใจง่าย

1) กองทุน SSF ย่อมาจาก Super Savings Fund หรือกองทุนรวมเพื่อการออม เป็นกองทุนเพื่อลดหย่อนภาษีที่ออกมาในช่วงต้นปี 2563 มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการออมระยะยาวของนักลงทุน ซึ่งเงินลงทุนในกองทุน SSF สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ตั้งแต่ปี 2563 – 2567 

2) ปัจจุบันกองทุน SSF มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิอยู่ที่ 69,000 ล้านบาท โดยกองทุนหุ้นมีสัดส่วนมากที่สุดราว 50,000 ล้านบาท คิดเป็น 72% ของขนาดโดยรวม รองลงมาคือกองทุนผสม ที่ 11,000 ล้านบาท หรือ 16% กองทุนตราสารหนี้ 5,500 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 8%

3) แม้ว่ากองทุน SSF จะมีกรอบการลงทุนที่เปิดกว้างให้ลงทุนในต่างประเทศได้ แต่กองทุนหุ้นไทยยังคงมีขนาดใหญ่ที่สุด คิดเป็นสัดส่วนถึง ¼ ของขนาดโดยรวม รองลงมาคือกองทุน Global Equity และกองทุนผสมประเภท Aggressive Allocation ตามลำดับ รวมถึงกองทุนหุ้นสหรัฐฯ และกองทุนหุ้นจีน ก็ติด 1 ใน 5

4) กองทุนที่มักจะติดกลุ่ม 3 อันดับแรกที่มีเงินไหลเข้ามากที่สุด คือ กองทุนหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาที่ติดในอันดับ 2 อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่กองทุนหุ้นไทยกลุ่ม Large-Cap ก็เป็นกองทุนที่ติดอันดับต้นๆอย่างต่อเนื่องยกเว้นในปีนี้ที่ตกลงไปอยู่ถึงอันดับ 7

5) ปัจจุบันกองทุน SSF มีจำนวนทั้งสิ้น 365 กองทุน (รวมทุกชนิดหน่วยลงทุน) ซึ่งมีการกระจายตัวในหลากหลายประเภทกองทุน โดยกองทุนที่มีขนาดใหญ่ที่สุด 5 อันดับแรกนั้น มีประเภทกองทุนที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นกองทุนหุ้นทั่วโลก, หุ้นไทย, หุ้นสหรัฐ และกองทุนผสม

6) ตลาดกองทุน SSF ค่อนข้างมีความกระจุกตัวในกลุ่ม บลจ. ขนาดใหญ่ โดย บลจ. ที่มีจำนวนกองทุนและส่วนแบ่งตลาดมากที่สุดในอุตสาหกรรม คือ บลจ.ไทยพาณิชย์ มีจำนวนกองทุนที่เสนอขายทั้งหมด 88 กองทุน (รวมทุกชนิดหน่วยลงทุน) และมีมูลค่าทรัพย์สินกว่า 18,000 ล้านบาท คิดเป็นส่วนแบ่งตลาดประมาณ 26%

7) กองทุน SSF มีเงินไหลเข้าสุทธิในปี 2564 – 2565 เฉลี่ยปีละประมาณ 15,000 ล้านบาท และปรับตัวลดลงเล็กน้อยในปี 2566 เหลือประมาณ 12,000 ล้านบาท ส่วนใน 2567 ปัจจุบันมีเงินไหลเข้าเพียงประมาณ 5,000 ล้านบาท 

8) ผลตอบแทนเฉลี่ยในปี 2564 ซึ่งเป็นปีแรกอยู่ที่ 10.2% เพราะเป็นปีที่ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นทั้งไทยและต่างประเทศ แต่พอมาในปี 2565 ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยติดลบจากการปรับตัวลดลงของสินทรัพย์เกือบทุกประเภท  ซึ่งการปรับตัวติดลบที่ค่อนข้างรุนแรนในปีนั้นทำให้ผลตอบแทนเฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปีของกองทุน SSF ยังคงติดลบเฉลี่ยที่ -4%

9) จุดเด่นของกองทุน SSF เมื่อเทียบกับกองทุนเพื่อลดหย่อนภาษีอื่นๆ คือ นโยบายการลงทุนที่สามารถลงทุนได้ในสินทรัพย์หลายประเภทไม่ว่าจะเป็นหุ้น ตราสารหนี้ สินค้าโภคภัณฑ์ โดยสามารถลงทุนได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งแตกต่างจากกองทุน Thai ESG หรือกองทุน LTF ที่จะต้องเน้นลงทุนสินทรัพย์ในประเทศเท่านั้น 

10 ) ที่สำคัญกองทุน SSF ยังมีเงื่อนไขระยะเวลาการถือครองหน่วยลงทุนเพียง 10 ปี ซึ่งแตกต่างจากกองทุน RMF ที่จะต้องถือหน่วยลงทุนจนอายุครบ 55 ปี อีกทั้งกองทุน SSF ยังไม่มีเงื่อนไขเรื่องการลงทุนต่อเนื่องอีกด้วย 

ถ้าใครที่กำลังมองหากองทุนเพื่อลดหย่อนภาษีในช่วงปลายปีนี้ อาจมองกองทุน SSF เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการลงทุนก่อนที่โครงการจะหมดอายุการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีลงในสิ้นปีนี้

ข้อมูล : morningstarthailand