ผลจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้สตาร์บัคส์ (Starbucks) ต้องประกาศว่ายอดขายในไตรมาสนี้ (Q3) คาดว่าจะลดลง 40-45% เมื่อเทียบกับปีก่อน แต่ขณะเดียวกันก็มีแผนจะเปิดสาขาเพิ่ม โดยมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจเพื่อรับมือกับวิถีชีวิตแบบ New Normal ต่อไป
ปัจจุบันสตาร์บัคส์เป็นผู้ทำธุรกิจร้านกาแฟของสหรัฐอเมริกาที่มีจำนวนสาขามากที่สุดในโลก โดยมีสาขาอยู่กว่า 31,000 สาขา ส่วนอันดับที่สองเป็นของ ดังกิ้น (Dunkin) จากชาติเดียวกันที่มีอยู่ประมาณ 13,000 สาขา
สื่อต่างประเทศอย่าง Business Insider และ The Wall Street Journal รายงานว่า ทางสตาร์บัคส์ได้ออกมาประกาศในไตรมาสที่ 3 ของบริษัท (เม.ย.-มิ.ย.) ถึงสถานการณ์ล่าสุดว่า ในไตรมาสนี้คาดว่ารายได้จะลดลงจากปีก่อน 3 – 3.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณเกือบ 1 แสนล้านบาท)
อย่างไรก็ตาม จากแถลงการณ์ของ เควิน จอห์นสัน ซีอีโอของสตาร์บัคส์ ระบุว่าเมื่อเวลาผ่านไป ก็เห็นได้ชัดว่ายอดขายกำลังกลับมาเรื่อย ๆ และเชื่อว่าช่วงเวลาที่ยากที่สุดได้ผ่านไปแล้ว แต่ก็ยังมองว่าในไตรมาสที่ 4 ยอดขายจะยังคงต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ 10-20%
ตอนนี้ความหวังของพวกเขาอยู่ที่สาขาในจีนที่ 99% ที่สามารถกลับมาเปิดร้านได้แล้ว และมีถึง 70% ที่ได้รับอนุญาตให้นั่งรับประทานได้ตามปกติโดยไม่ต้องเว้นที่นั่ง นอกจากนั้นยังมีการเปิดสาขาเพิ่มในจีนถึง 57 สาขาในเดือนเม.ย.และพ.ค. โดย 8 ในนั้นเป็นหน้าร้านรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า สตาร์บัคส์นาว (Starbucks Now™) ที่เน้นให้บริการสั่งผ่านมือถือ จากนั้นก็มารับที่ร้านหรือจะใช้บริการเดลิเวอรี่ก็ได้เช่นกัน
ส่วนสาขาในอเมริกานั้น สำหรับแผนระยะสั้นในไตรมาสปัจจุบันทางบริษัทยังยืนยันว่าจะมีการเปิดเพิ่ม 300 สาขา ซึ่งลดลงจากแผนที่วางไว้ก่อนจะเกิดการระบาดขึ้นคือเปิด 600 สาขา และในระยะยาวจะมีการปิด 400 สาขาภายใน 18 เดือนข้างหน้าเพื่อหันมาหาที่ตั้งร้านแห่งใหม่ที่ตอบโจทย์กับพฤติกรรมใหม่ ๆ มากขึ้น