
นายณัฐกร อุเทนสุต ผู้อำนวยการสำนักแผนภาษี ในฐานะรองโฆษกกรมสรรพสามิต
ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.เป็นต้นไป เครื่องดื่มความหวานบางรายการ จะถูกเก็บภาษีเพิ่มขึ้น ตั้งแต่ 5 สตางค์ ถึง 1 บาทต่อลิตร ขณะที่กรมสรรพสามิต ปรับเกณฑ์กำกับเครื่องดื่มดัดแปลงที่อาจมีส่วนผสมเพื่อสุขภาพ หรือ ฟังก์ชั่นนอลดริ๊งค์ ห้ามเติมวัตถุปรุงแต่งเพื่อใช้สิทธิยกเว้นภาษี ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตอาจเพิ่มขึ้น คาดเพิ่มการจัดเก็บรายได้อีกไม่น้อยกว่า 1,500 ล้านบาท
เมื่อวันที่ 9 ก.ย.62 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายณัฐกร อุเทนสุต ผู้อำนวยการสำนักแผนภาษี ในฐานะรองโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ในวันที่ 1 ต.ค.62 จะมีการปรับขึ้นอัตราภาษีความหวานใหม่อีกเท่าตัว ส่งผลให้ เครื่องดื่มในท้องตลาดส่วนใหญ่ ปรับเพิ่มขึ้น ไม่เกินขวดละ 1 บาท หรือ อาจไม่ปรับราคาขายปลีกเลย โดยการปรับขึ้นภาษีเครื่องดื่มให้ความหวานเป็นแบบขั้นบันได ดังนี้
- ปริมาณน้ำตาลไม่เกิน 10 กรัม จะเก็บภาษีตามเดิม ที่ 30 สตางค์ต่อลิตร
- ปริมาณน้ำตาล 10 – 14 กรัม จากเดิม 50 สตางค์ เป็น 1 บาทต่อลิตร
- ปริมาณน้ำตาล 14 – 18 กรัม จากเดิม 1 บาท เป็น 3 บาทต่อลิตร
- ปริมาณน้ำตาลเกิน 18 กรัมขึ้นไป จากเดิม 1 บาท เป็น 5 บาทต่อลิตร
ทั้งนี้ จะมีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2562 – 30 ก.ย.2564 ซึ่งเชื่อว่าไม่กระทบผู้บริโภค ยกเว้น เครื่องดื่มบางรายการ ที่ไม่พยายามหานวัตกรรมปรับสูตรเครื่องดื่ม ให้สอดคล้องกับนโยบาย
แต่หากคำนวณภาระภาษีจริงตามขนาดบรรจุภัณฑ์ เครื่องดื่มน้ำดำ จะมีภาระภาษีเพียงกระป๋องละ 10-20 สตางค์ พร้อมเปรียบเทียบกับบริษัทผู้ผลิตน้ำดำคู่แข่ง กลับพัฒนาสูตรความหวานแบบรสดั้งเดิม แต่สามารถลดปริมาณน้ำตาลจริงลงครึ่งหนึ่ง ส่งผลให้ภาระภาษีลดลง จากเดิม กระป๋องละ 1 บาท เหลือ 10 สตางค์ เช่นเดียวกับ ผู้ผลิตเครื่องดื่มความหวานอีกกว่า 60 – 70 ยี่ห้อ ที่ปรับสูตรลดความหวานลง เพื่อลดภาระต้นทุนภาษีจากการบังคับใช้อัตราใหม่
ขณะที่ เครื่องดื่มดัดแปลงที่อาจมีส่วนผสมเพื่อสุขภาพ เช่น ช่วยย่อยอาหาร บำรุงสมองหรือ ที่เรียกว่า “เครื่องดื่มฟังก์ชั่นนอล ดริ๊งก์” และน้ำผักน้ำผลไม้ อาจเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด อาจมีภาระต้นทุนภาษีความหวานเพิ่มขึ้น ขวดละ 5-15 สตางค์ หลังกรมฯ ปรับเกณฑ์ให้ผู้ผลิตเครื่องดื่มประเภทนี้ ใช้ผักและผลไม้จริงในสัดส่วนที่เหมาะสมมากขึ้น หลังพบว่า ผู้ผลิตบางราย โฆษณาว่าเป็นเครื่องดื่มสุขภาพจากผักและผลไม้ แต่กลับใช้น้ำองุ่นขาว เป็นส่วนผสมหลัก และเติมสารปรุงแต่ง เช่น คอลลาเจน เพื่อให้ปริมาณกากใยอาหาร หรือ ไฟเบอร์ เข้าเงื่อนไขได้รับสิทธิยกเว้นภาษี ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อผู้บริโภค
ผู้อำนวยการสำนักแผนภาษี คาดว่า การจัดเก็บภาษีความหวานอัตราใหม่ จะช่วยเพิ่มจัดเก็บรายได้อีก 1,500 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดิมที่จัดเก็บได้จากการบังคับใช้รอบแรก 4,000 ล้านบาท โดยแผนปรับภาษีความหวาน กรมจะจัดเก็บในอัตราขั้นบันไดทุก 2 ปี ซึ่งจะปรับขึ้นภาษีรอบใหญ่อีกครั้ง ในช่วงวันที่ 1 ต.ค.2564 – 30 ก.ย.2566
ซึ่งกรมสรรพสามิต เดินหน้าประสานงานกับกระทรวงสาธารณสุข ศึกษาความเป็นไปได้ในการเก็บภาษีสุขภาพรายการใหม่ในอนาคต ทั้งภาษีความเค็มและไขมัน รวมทั้ง เครื่องดื่มเบียร์ 0% และยาเส้น หลังพบปริมาณการบริโภคยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งอาจสร้างภาระทางการคลัง จากค่าใช้จ่ายสุขภาพที่เพิ่มขึ้น พร้อมยอมรับว่า กรมสรรพสามิต ได้รับมอบหมายจัดเก็บรายได้ในปีงบประมาณ 2563 เพิ่มขึ้น จากเป้าหมาย 580,000 ล้านบาท เป็น 642,000 ล้านบาท