SHARE

คัดลอกแล้ว

ภาพของสุกัญญา มิเกล นักร้อง นักแสดงยุค 90 ขวัญใจใครหลายคนที่ปรากฎตัว ณ ท้องสนามราษฎร (คำที่ผู้ชุมนุมธรรมศาสตร์และการชุมนุมใช้เรียก สนามหลวง) ทำให้หลายคนประหลาดใจ เพราะสังคมยังจำเธอในบทบาทผู้สนับสนุนการชุมนุมพันธมิตร และ กปปส. มาวันนี้ ช่วงกลางค่อนไปทางท้ายปี 2563 เธอโพสต์เฟซบุ๊กประกาศจุดยืนเรียกร้องรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อย่างชัดเจน

ท่ามกลางความเซอร์ไพรส์ ความยินดี ความผิดหวังของใครหลาย ๆ คนที่ปะปนกันไปต่อนักร้องมากฝีมือผู้นี้ workpointTODAY ชวนเขามาสะท้อนความคิดที่มีต่อการเมืองไทยในคลื่นประชาธิปไตยที่กำลังไต่ระดับนี้กัน

ก่อนอื่นเราขอให้ “พี่มิเกล” เล่าให้ฟังว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร ทำไมถึงตัดสินใจร่วมชุมนุมวันที่ 19 กันยายน  2563 ที่ผ่านมา

จริง ๆ พี่ก็ติดตามสถานการณ์บ้านเมืองมานาน ดูเหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้น แน่นอนว่าเราอยู่กับการทำงานของรัฐธรรมนูญนี้มาระยะหนึ่งแล้ว ก่อนหน้าที่มันจะมีรัฐธรรมนูญ ปี 2560 ก็อีกระยะหนึ่งเลย

ระยะเหล่านั้น เป็นระยะที่เราเห็นอะไรที่มันผิดปกติ เราเริ่มเห็นการใช้อำนาจที่ไม่สมดุล เราเริ่มเห็นการใช้กฎหมายแบบไม่ยุติธรรมกับทุกฝ่าย เราเริ่มเห็นการใช้คำสั่งหรือนโยบายที่ออกมาโดยไม่ให้ความยุติธรรมกับคนที่เรียกว่าประชาชน พอเห็นสิ่งเหล่านี้แล้วเราก็ไตร่ตรองดูว่ามันสัมพันธ์กับชีวิตเรามากขนาดไหน หลบเลี่ยงไม่ได้เลยว่า มันสัมพันธ์กับชีวิตพี่มาโดยตลอด มีวาทกรรมที่เคยได้สั่งสมมาแต่เล็กแต่น้อย หรือว่าวงการบันเทิงเองก็จะบอกเราว่าอย่ายุ่งเรื่องการเมือง หรือว่าบอกเรามาตลอดว่าการเมืองเป็นเรื่องไม่เกี่ยวข้องกับชีวิตเรา มันไกลตัว แต่ช่วงเวลา 6 ปีที่ผ่านมา หรือว่าจะถอยไปอีกจริง ๆ พี่ก็ผูกสัมพันธ์กับมันมาเป็นสิบปีแล้ว พี่ได้คำตอบอย่างชัดเจนแล้วว่า การเมืองไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่การเมืองเป็นเรื่องในบ้านเลยทีเดียว

สุกัญญา มิเกล พบว่า นโยบายรัฐกระทบคนโลกกลางคืนก่อนเสมอ

นโยบายของภาครัฐที่เข้ามาบริหาร ส่งผลถึงชีวิตของประชาชนในเรื่องของการเป็นอยู่แบบตรง ๆ มาก ๆ ที่เห็นชัดเจน คือ มีการล็อกดาวน์

ชีวิตอาชีพพี่จะโดนก่อน ไม่ว่าจะเป็นตอน คสช.ขึ้นมาก็โดนก่อนแล้ว พี่เล่นดนตรีกลางคืนอยู่เป็นประจำ ไม่ได้หดหายไปไหน พี่ทำงานของพี่ในโลกกลางคืนอยู่ พี่ก็จะเห็นว่ามีการออกนโยบายออกคำสั่งว่าให้ปิดเวลาเท่านั้น เท่านี้ เพื่อความสง่างามของประเทศชาติ เพื่อความสงบสุข แต่ความเป็นจริงแล้วพอมันสงบสุขปุ๊บ มันกลายเป็นสงัดเงียบไปเลยครับ มันก็ส่งผลกระทบกับชีวิตของนักดนตรี เด็กเสิร์ฟ พ่อค้าแม่ขายที่ขายไก่ย่าง หมูปิ้ง ปลาหมึกย่างที่เขาใช้ชีวิตกลางคืน คนเหล่านั้นมีรายได้ต่ำอยู่แล้ว ต้องอาศัยชีวิตที่มันสมบุกสมบันต่อการอดทนอย่างรุนแรง แล้วพอจำกัดจำเขี่ยด้วยนโยบายของการบริหาร มันก็ยิ่งทำให้ชีวิตพวกเขาหรือพวกพี่แย่ลงกว่าเดิมอีก พี่ก็เลยเห็นแล้วว่า รัฐธรรมนูญที่เอื้อประโยชน์ให้กับคนที่ขึ้นมาบริหารมีส่วนสำคัญมาก ๆ ถ้ามันไม่มีความยุติธรรม หรือมันได้มาโดยมิชอบ ผลก็จะมาออกกับชีวิตเรา ๆ ที่เป็นอยู่ตอนนี้ นี่คือความคิดของพี่เพียว ๆ

สุกัญญา มิเกล นักร้องนักแสดงชื่อดังจากยุค 90 ปัจจุบันเขาไม่ได้หายไปไหนแต่ทำงานในวงการดนตรีตลอดมา

จุดหนึ่งที่ทำให้หลายคนเซอร์ไพรส์ที่พบคนชื่อ สุกัญญา มิเกล ในการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตย เพราะบทบาทที่ผ่านมาเธอปรากฎกายในการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตร และกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) เราจึงขอให้เธอสะท้อนเรื่องราวเหล่านั้น

พี่ไม่รู้นะว่าคนรุ่นใหม่หรือเด็ก ๆ รุ่นใหม่จะเข้าใจระบบของสังคมของประเทศไทยยังไง มันจะมีคำว่า พรรคพวกพี่น้อง มันจะมีจูเนียร์ ซีเนียร์ ดังนั้น เวลาที่มันเกิดอะไรขึ้นก็ตามในประเทศนี้แล้วเราอยู่ไหนส่วนไหน ข้าราชการก็จะมีพรรคพวกข้าราชการ นักดนตรีก็มีพรรคพวกของนักดนตรี นักแสดงก็มีพรรคพวกของนักแสดง นักศิลปะก็มีพรรคพวกพ้องของนักศิลปะด้วยกัน แม้แต่วงการสีเขียว สีกากีก็จะมีพรรคพวกหมด ดังนั้น ถ้าคนจะเข้ามาคอมเมนต์ว่า แน่ะ มึงเคยขึ้น ก็ถูกต้องนะเพราะว่าความที่เรามีพรรคพวกที่เกี่ยวอยู่ในวงการบันเทิงมาตั้งแต่อายุ 16 ปีแล้วมันเป็นอาชีพของเรา

เปรียบเสมือนเป็นหนองน้ำหนองนึงแล้วถ้าเราเป็นปลาอยู่ในหนองน้ำนั้น แล้วปลาพากันอพยพ แต่ละคนลองเอากลับไปคิดว่า ถ้าคุณเป็นปลาตัวนั้น คุณจะตัดสินใจอย่างไร ในช่วงเวลาที่ข้อมูลข่าวสารยังไม่ชัดเจนแบบทุกวันนี้ ในช่วงเวลาที่ยังใช้วิธีการบอกกันปากต่อปากอยู่ ความเปลี่ยนไปของสถานการณ์ที่โลกมันเดินไปเร็วมาก มันทำให้ปลาแบบพี่ได้เห็นอะไรเพิ่มขึ้น พี่ไม่ปฏิเสธถ้าใครจะเกลียดหรือใครจะโกรธว่า เป็นตัวตั้งต้น สารตั้งต้นที่ทำให้คนเกิดความรู้สึกแตกแยกเกิดขึ้น คงจะปฏิเสธไม่ได้ เพราะว่าด้วยเทคโนโลยีที่มีบันทึกเก็บไว้ทั้งหมดเป็นตัวบ่งบอกอยู่แล้ว

แต่พี่เองก็เสียใจมาก ๆ นะที่มันเกิดความแตกแยกทางความคิด ด้วยวัย 10 ปีที่ผ่านมา เป็นวัยที่เราได้เติบโตเพิ่มขึ้นในแต่ละวัน แต่ละเดือน แต่ละปีเหมือนกันนะ เราเติบโตขึ้นมาด้วยตรรกะความคิดที่ว่า มนุษย์เรามีการใช้เหตุผลทางความคิดพร้อมกับใช้อารมณ์ความรู้สึก ซึ่งมันต้องอาศัยการฝึกฝนมากกับการที่จะแยกเหตุผลทางความคิดกับความรู้สึก พี่เกลเดินชีวิตตลอดมาด้วยการใช้ความรู้สึก ถ้าพี่ใช้ความคิด พี่คงรวยกว่านี้แล้ว พี่คงไม่จนอยู่แบบนี้ แต่นั่นเป็นเพราะว่าพี่คิดในทางศิลปะว่าให้ใช้หัวใจเดินชีวิต เราก็เลยใช้หัวใจในการเดินชีวิต พอมันมีอะไรเกิดขึ้นแล้วมันมีวาทกรรม ความรู้สึกก็เลยไปเลย

“พี่เกล” ชี้ว่านั่นคือสาเหตุที่เข้าร่วมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แต่ก็เผยว่า ประสบการณ์การเข้าร่วมกับ กปปส.นั้นแตกต่างออกไป

การขึ้นที่เวที กปปส.พี่ไม่ได้ภูมิใจกับการไป แต่พี่ไปเพราะพรรคพวกพี่น้องเขาไปกัน และพี่เป็นปลาอยู่ในหนองน้ำนั้น ถ้าทุกคนจะย้อนดูโดยไปดูตามเรคคอร์ดพี่ไม่เคยพูดถึงเรื่องการเมืองเลย พี่มีแต่ร้องเพลงอย่างเดียว พี่จะบอกแค่ว่ามาเป็นกำลังใจให้แต่ละคนเหมือนเป็นหน่วยเอนเตอร์เทน สร้างความสุขอย่างเดียว ไม่เคยกล่าวด่าใครรุนแรง พี่แค่ไปร่วมเพราะว่าเพื่อนไปร่วม แต่ย้อนไป 10 ปี (พันธมิตร) อันนี้พี่ไปของพี่เอง แต่ครั้งที่สอง (ของกปปส. ) พี่ไม่ได้อยากไปเอง แต่พี่มีความรู้สึกว่าพี่จำเป็นต้องไป เพราะถ้าพี่ไม่ไป คนทั้งวงการบันเทิงเขาไปกัน พอพี่ไม่ไปพี่จะเป็นปลาที่ถูกทิ้ง เป็นความรู้สึกที่ไม่ต่างกับที่ข้าราชการหลายคนอาจจะรู้สึกว่าถ้าเราไม่ทำหรือทำตามความรู้สึกตัวเองสุดโต่งเกินไป เราก็จะโดนเขี่ยทิ้งก็จะมองได้ว่าตอนนั้นเป็นเรื่องของจำเป็นต้องไปด้วยสายงานอาชีพ

ทีนี้ย้อนมาแล้วทำไมปัจจุบันตัดสินใจที่จะพูดตามรู้สึกนึกคิดของตัวเอง 10 ปีที่ผ่านไปมันพิสูจน์ชัดแล้ว 6 ปีที่ผ่านไปมันพิสูจน์ชัดแล้วว่า การทำสิ่งนั้นไม่ก่อให้เกิดประโยชน์กับคนโดยรวม ดังนั้น ที่ถามกับตัวเองบ่อยครั้งในะระยะหลายปีที่ผ่านมานับตั้งแต่มีปัญหา โลกกลางคืนโดนปิด พ่อค้าแม่ขายหมดอาชีพ เด็กนักเรียนไม่มีเสื้อผ้าต้องไปกู้หนี้ยืมสินกันมาเพื่อจะมาซื้อเสื้อผ้าให้ลูกใส่ไปโรงเรียน มีหนี้นอกระบบเยอะแยะ มีสายงานทางด้านบันเทิงลดหายไปหมด สายงานทางด้านการค้าขายหายไปหมด มันเป็นจุดที่ทำให้พี่เห็นแล้วว่า เดี๋ยวนะ มันผิดปกติว่ะ ถ้ามันจะดีจริงตั้งแต่ตอนนั้น 6 ปีที่แล้ว

ตอนนั้นมีการใช้วาทกรรมว่าจะมีการปฏิรูป ทุกคนก็คาดหวังการปฏิรูป แต่ที่เห็นมาตลอด 6 ปียังไม่มีการปฏิรูปใด ๆ พี่ไม่เห็น พี่เห็นแต่สิ่งเดิม ๆ ที่เป็นมาตลอดตั้งแต่เล็ก จนปัจจุบันนี้ก็ยังเห็นอยู่ พวกพ้องพี่น้องของกูมาก่อน ดังนั้น ถามว่าพี่มองย้อนกลับไป พี่รู้สึกแย่ไหมกับการเป็นเซลล์เซลล์หนึ่งที่ทำให้วาทกรรมคำว่า ปฏิรูปเกิดขึ้น แต่มันไม่เกิดขึ้นจริง พี่เสียใจมากครับ

เราถามต่อ แล้วอย่างนี้ที่พี่เกลออกมาชุมนุมวันที่ 19 กันยาที่ผ่านมา จะทำให้พี่เกลกลายเป็นปลาที่ถูกโดดเดี่ยวจากหนองน้ำไหม?

คนที่เขาสนับสนุนให้มีการปฏิรูปเขาก็บอกว่าชีวิตประชาชนจะมีแต่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน 6 ปีที่ผ่านมาก็พิสูจน์ชัดแล้วว่ามันก็ไม่ได้ยั่งยืน พี่ไม่ได้กอดแข้งกอดขาใคร ดังนั้น 6 ปีที่ผ่านมาพี่ก็เหมือนเป็นปลาที่โดดเดี่ยวอยู่ในหนองน้ำอยู่เป็นนิจอยู่แล้ว ต่อจากนี้ไปเพื่อนจะโกรธพี่จะเกลียดพี่ แฟนคลับบางคนที่รักกันมาตลอดเพราะคิดว่ามีแนวทางความคิดเดียวกันก็เลยรักกัน แล้วเขาจะเกลียดพี่ไป มันเป็นเรื่องสิทธิของเขา เพราะพี่มองเรื่องของประชาธิปไตยก็ต้องเคารพกัน กลัวไหมว่าจะไม่มีกิน ที่ผ่านมาอาชีพการงานก็ไม่ค่อยมีอยู่แล้ว พี่ใช้อาชีพร้องเพลงใช้เสียงเข้าแลก เหนื่อยไม่เป็นไร

สุกัญญา มิเกล วันที่ 19 กันยายน 2563 ณ สนามหลวง ระหว่างการชุมนุม #19กันยาทวงคืนอำนาจราษฎร ที่ซุ้มลงชื่อเสนอการแก้ไขรัฐธรรมนูญของ iLaw

แล้วพี่แก่แล้ว ลูกพี่เริ่มโตเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้ว ก็มองอยู่เหมือนกันว่าเราจะนั่งหดหัวเป็นเต่าอยู่ในกระดองเช่นนี้ต่อไปแล้วปล่อยให้ประเทศเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ให้มะงุมมะงาหรากันแบบไม่เข้าใจว่า จริง ๆ เหตุและผลมันอยู่ตรงไหนไปเรื่อย ๆ อย่างนี้หรือ

เอาเป็นว่า กลัวไหม พี่เลยข้ามความกลัวไปแล้ว พี่มีแต่คำว่า “เข้าใจ”

เราสงสัย ลูกมีส่วนไหมที่ทำให้เขาออกมาแสดงจุดยืน 

ลูกมีส่วนสำหรับทั้งชีวิตของพี่อยู่แล้ว ไม่ว่าจะตัดสินใจเรื่องอะไรใหญ่ ๆ ครั้งแรกที่พี่รู้สึกว่าต้องทำอะไรเพื่อสังคม

ตอนนั้นอายุ 32 ปี ลูกคนแรกพี่มีความรู้สึกตอนนั้นคือ ถ้าใครมีอะไรเพื่อสังคมให้ฉันไปทำ ฉันจะไปทำ เพราะมันจะเป็นส่วนหนึ่งที่ก่อร่างสร้างตัวในสังคมให้มันดีขึ้นเพื่อลูก พอมาคนที่สอง ตอนนี้เขาอายุ 10 ขวบ หมายความว่า พี่ผ่านเรื่องการเมืองสี กีฬาสีมา 10 ปีเหมือนกัน แล้วพี่ไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นเลย

พี่มองไปข้างหน้าอีก 5 -10 ปีพี่แก่ลงกว่านี้ ลูกพี่ต้องเป็นหนุ่ม เป็นเด็กนักศึกษาในอนาคตอีกไม่กี่ปีนี้ เขาจะอยู่แบบไหน ทำให้พี่เริ่มหันไปมองว่า เด็ก ๆ นักศึกษาพูดอะไรกัน เรียกร้องอะไรกัน การเรียกร้องมีพื้นเพต้นเหตุอะไร พี่ตัดหัวใจคำว่า ชอบหรือไม่ชอบออกไป ความคิดหรือสิ่งที่ได้ยินกันมาปากต่อปากแล้วเอาประสบการณ์ที่ใช้ชีวิตแบบฟังเขามาออกไป พี่เริ่มต้นหาข้อมูลที่ทำได้ในยุคนี้ซึ่งก่อนหน้าไม่ได้มีให้พี่ พี่เริ่มอ่านใหม่ เริ่มค้นใหม่ เริ่มดูการเปลี่ยนแปลงจาก 6-10 ปีที่แล้ว ดูว่าวิวัฒนาการของประเทศไทยคืออะไร

พี่เห็นแล้วว่า รัฐธรรมนูญมีส่วนสำคัญมาก มันเปลี่ยนแปลงทุกครั้ง และการเปลี่ยนแปลงแต่ละครั้งนั้นเพื่อกลุ่มบางกลุ่ม ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงเพื่อประโยชน์ของคนโดยรวม พี่เลยคิดว่า ถ้าเราไม่เป็นอีกหนึ่งเซลล์อีกครั้งเพื่อลูกในอนาคต คราวนี้มันก็คงจะเป็นอย่างนี้อีก สัก 5-6 ปีข้างหน้าอาจจะมีรัฐประหารอีก แล้วก็จะมีการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญอีก แล้วประชาชนก็ต้องนั่งปรับอีกว่า ตกลงแล้วฉันมีสิทธิแค่ไหน ฉันเรียกร้องอะไรได้บ้าง ฉันจำเป็นต้องถูกบังคับให้ใช้ชีวิตแบบ เขาออกนโยบายอย่างเดียวแล้วประชาชนก็ต้องมานั่งใช้ชีวิต นั่งปรับตัวอีกรอบหนึ่ง ไปหน้ากระทรวงนั้น ไปตั้งแคมป์กระทรวงนี้กันอยู่ร่ำไปอย่างนี้หรอ

ทำไมเราไม่มารวมกลุ่มกัน เหมือนเป็นอัศวินโต๊ะกลมใหญ่ ๆ แล้วบอกว่า ชาวนาต้องแก้ไขอย่างไร ชาวประมงแก้ไขอย่างไร สิ่งแวดล้อมเราจะออกกฎควบคุมยังไงไม่ให้มันแย่ไปกว่านี้ หรือมีคนมาใช้อิทธิพลในการหากินกันมัน เรื่องของแท็กซี่ เรื่องของการเปิดประเทศ การท่องเที่ยวว่าเราจะทำยังไงให้มีนักท่องเที่ยวมา กฎระเบียบอะไรหนอที่ทำให้เขาไม่มา ควรจะต้องมานั่งปรึกษากันด้วยวงกว้างไม่ใช่หรือ ทำไมต้องนั่งหดหัวอยู่ว่าเขาสั่งมาเราก็ทำไป มันไม่ใช่โลกยุคใหม่ นั่นมันโลกยุคเก่า

กระแสตอบรับการชุมนุมวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา ทุกคนฮือฮาที่สุกัญญา มิเกลปรากฎตัว แต่มีคนเดินเข้ามาบอกว่ายังไงบ้าง

หลายคนมองหน้าพี่แล้วเขาตกใจนะ เพราะว่าทุกคนก็เห็นพี่ไปร่วมกับสองครั้งที่ผ่านมา (พันธมิตรและ กปปส.) เขาเองเขาคงคิดว่าพี่มีความคิดที่ต่อต้านพี่น้องเสื้อแดง เขาคงตกใจว่าอยู่คนละฝั่งแล้วมาได้ไง แต่ความเป็นจริงแล้วพี่ไม่เคยคิดว่าประเทศนี้มีฝั่งเลย แล้วพี่ไม่เคยเห็นเลยว่า การแบ่งกันเป็นฝั่งมันจะเกิดประโยชน์

พี่บอกกับตัวพี่เองว่า พี่เป็นแค่ประชาชนคนหนึ่งแล้วพี่ออกไปใช้สิทธิของพี่ น่าจะเป็นหนึ่งเสียงที่ไปขอเรียกร้องให้เกิดความเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ได้ไปในฐานะดาราที่จะไปร้องเพลงเพื่อกระตุ้นให้เกิดอะไรบางอย่างขึ้น พี่ไปเข้าแถลงชื่อเอาบัตรประชาชนไปยื่นเพื่อจะบอกว่าฉันเห็นด้วยกับการร้องขอการเปลี่ยนแปลง

คนหลาย ๆ คนเขาตกใจ พี่ไม่โกรธเขาและไม่ถือว่าเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดสำหรับพี่ เพราะพี่รู้ว่าสภาพพี่อยู่มา 10 ปีกับสังคมที่มีความคิดแตกต่างกันมาก เวลาที่เขาตกใจพี่ก็จะรู้สึกว่าเดี๋ยวคุณก็จะเข้าใจเราเองแหละ

กับอีกฝั่งหนึ่งก็คือพี่น้องเพื่อน ๆ นักดนตรี ที่เห็นพี่ไปเขาก็รู้สึกปลาบปลื้มว่า เขาเองไม่ได้ถูกโดดเดี่ยว เราเป็นศิลปิน เราเป็นนักร้องที่เป็นไอดอลของพวกเขา แล้วเขาก็รู้สึกว่าขอบคุณนะ มาขอถ่ายรูป ขอบคุณนะพี่ เรารู้สึกว่าไม่ได้ถูกโดดเดี่ยวเป็นคนต้อยต่ำที่ไม่ได้มีเสียงใหญ่ ๆ เลย ไม่มีโทรโข่งเลย เขาเห็นพี่เป็นโทรโข่งให้เขา

อีกอันหนึ่งตอนที่พี่ไปเข้าแถวเพื่อจะรอลงชื่อจะมีคุณป้าคนหนึ่งหันมามองหน้าแล้วก็ถาม ใช่คุณมิเกลไหม เราก็บอก ใช่ค่ะ ก็กลัว ตั้งรับอยู่เหมือนกันว่าแกจะด่าไหม ถ้าด่าก็ไม่เป็นไร เราก็จะใช้วิธีกอดหรือจับมือ สัมผัสเพื่อลดความรุนแรงอยู่แล้ว แล้วเราก็จะอธิบาย แต่เผอิญว่ามันเป็นสิ่งตรงกันข้ามกันเลย คุณป้าถาม ใช่มิเกลไหม แล้วเราก็บอกว่าใช่ แกก็เลยบอกว่าขอป้าถ่ายรูปด้วยหน่อย ป้าเป็นเสื้อแดงนะ เราก็เลยยิ้มให้แกแล้วถามว่าคนไทยเหมือนกันไม่ใช่เหรอ เรื่องสีไม่ได้มีผลกับพี่ ไม่ว่าจะเป็นหลากสี สีเหลือง สีแดง สีอะไรก็ตาม ไม่ได้มีผลกับพี่เลย

เราชื่อว่าหลังจากนี้คนบางกลุ่มก็จะมองว่า สุกัญญา มิเกล เป็นเสื้อแดง

มีแล้วครับ ระเบิดลงพี่มาสองวันแล้ว ระเบิดลูกใหญ่จะมาจากคนที่เคยรักเราจะเยอะกว่าฝั่งประชาธิปไตยด้วยซ้ำ

มันมีผลกระทบมากกับการยึดโยงใครบางคนเป็นสัญลักษณ์ พี่ถูกจับยัดเยียดให้เป็นสัญลักษณ์นั่น สัญลักษณ์นี่ ตั้งแต่เข้าวงการใหม่ ๆ แล้ว พี่ถูกจับยัดให้เป็น sex symbols ทั้ง ๆ ที่พี่แค่ทำอาชีพนางแบบของพี่ พอพี่ไปมีหนังเรท R ก็ยึดโยงพี่ว่าเป็นดาราเกรดต่ำโดยไม่สนใจว่าพี่เล่นดีไม่ดีนะ

ในยุค 90 สุกัญญา มิเกล ได้รับสมญานามว่าเป็น “ดาวเซ็กซี่” เขาจึงตัดสินใจโกนหัวเพื่อท้าทายความงามตามขนบ ขณะที่ปกอัลบั้ม 2 อัลบั้มด้วยกันปรากฎภาพเขากำลังสูบบุหรี่ ท้าทายขนบวงการบันเทิงไทยในขณะนั้น

จะยึดโยงใครก็ได้ แต่พี่ก็แค่ประชาชนคนหนึ่งที่ก็เสียภาษีเหมือนกัน แล้วก็คิดว่าต่อให้ใครด่าพี่ยังไงก็ตาม ตอนนี้พี่ก็คิดว่าก่อนจะเข้าช่วงวัยชราก็อยากเป็นคนวัยชราที่ไม่ใช่แค่แก่แดกข้าวน่ะ

อยากเป็นคนชราที่มีประโยชน์กับการดูแลลูกตัวเอง เวลาดูแลลูกตัวเองมันไม่ใช่แค่ป้อนข้าว ไม่ใช่แค่บอกเขาให้ทำในสิ่งที่เราอยากให้เป็น แต่มันต้องเรียนรู้ว่าโลกในอนาคตเขาจะอยู่อย่างไร เขาจะทันคนอื่น ๆ ไหม เขาจะโดนกลเกมหลอกเอาไหมด้วยความที่รู้ไม่ทัน รู้ไม่เท่า แล้วถ้าเกิดบ้านเรายังใช้วิธีคิดหรือวิธีบริหารแบบเดิม ๆ ลูกพี่จะไม่ต่างกับคนอื่นที่เราเคยดูถูกเขามาก่อน เราไม่ควรให้ลูกเราอยู่ในสภาวะเป็นประชากรของโลกที่ 3 คือ กำลังพัฒนาตลอดศก

มันควรจะเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว เพราะว่าแต่ละครั้งที่มันจะดำเนินไป มันจะสะดุดเสมอ ถ้าไปดูไทม์ไลน์ของการรัฐประหารมันมีการสะดุดเสมอ มันเลยไม่เคยคืบคลานไปโลกที่ 2 และเราไม่เคยถูกให้เขียนหรือจัดอันดับให้เป็นโลกที่ 1 ได้เลย เพราะเรามีแนวความคิดที่เราจำกัดจำเขี่ยความสร้างสรรค์หรือการเสวนาแลกเปลี่ยนของคนรุ่นใหม่และคนรุ่นเก่า

คนรุ่นเก่ากลัวความตรงไปตรงมาของเด็กรุ่นใหม่

คนรุ่นเก่าไม่เอาคนรุ่นใหม่ อาจจะเป็นเพราะความกลัวก็ได้นะ เพราะเราเคยกลัวเทคโนโลยีมาก่อน แต่พอเราเริ่มเปิดใจว่าโลกมันเปลี่ยนไปแล้วนะ เราต้องมีมือถือ พี่ก็ลองเปิดใจมีมือถือว่าอ้าว มันก็มีประโยชน์ได้เหมือนกันนะ

เขากลัวความตรงไปตรงมาของเด็กรุ่นใหม่ ยกตัวอย่างเช่น ลูกพี่พูดบางคำว่า หม่ามี้ เดี๋ยวนี้หม่ามี้อ้วนขึ้นมากเลยนะ อาจจะต้องเอาพุงออกบ้างแล้ว ถ้าเป็นคนรุ่นเก่าจะมองว่าเด็กรุ่นนี้ก้าวร้าวและปีนเกลียวเพราะคำพูดไม่ถูกใจ แต่ถ้าเป็นคนที่อยู่กับรุ่นใหม่ที่พยายามพัฒนาตัวเองจะฟังสิ่งที่เขาคิดแล้วเอาอารมณ์ออกก็จะคิดว่าสิ่งนั้นมันเป็นข้อมูลจริงไหม

พี่ก็หันมาดูพุงตัวเองแล้วก็รู้ว่าเออ กูอ้วนจริง ๆ ดังนั้น เราไม่โกรธเขาเพราะเราเอาอารมณ์ออกไปแล้ว ได้ความสัมพันธ์ที่ดีด้วย เราก็จะบอกเขาว่า โอ้ธรรมชาติก็อย่างนี้แหละหนู หนูอายุเท่านี้แล้วหม่ามี้ก็อ้วนขึ้นแหละ มันเป็นความสัมพันธ์ที่มากขึ้นจากการยอมรับ พี่ยอมรับว่า ลูกพูดตรง พี่ยอมรับว่าลูกพูดจริงก็ยอมรับกับตัวเองว่าไม่ควรจะโกรธด้วยเหตุและผล ถ้าคนในบ้านเราเริ่มฝึกคิดถึงเหตุและผลแบบที่พยายามจะให้เด็กเป็น พี่ว่าผู้ใหญ่น่าจะโกรธเด็กน้อยลงกว่านี้เยอะ

นอกจากกระบวนการเรียกร้องด้านประชาธิปไตย การชุมนุมยังมีเรื่องของความหลากหลายทางเพศ  เราถามว่าเขามองเรื่องนี้ว่ายังไงบ้าง

พี่เห็นเวทีสวยมาก เรื่องของการแสดง เรื่องของการครีเอทศิลปะที่แสดงออกเป็นแบบ Abstact ของเขาสุดยอดมาก แล้วพี่ชื่นชมคนรุ่นใหม่จริง ๆ นะ เขาเรียนรู้เหมือนตอนที่พี่เรียนรู้มาก่อน ตอนยุค 90 ว่าศิลปะนั้นมันจรรโลงความคิด แล้วคนที่เป็นเพศ straight หรือเพศหลากหลายก็ตามแต่ เมื่อเอาศิลปะมาผสมกับสิ่งที่อยากจะบอกมันจะออกมาเป็นการสื่อสารที่ตรงและควบคุมไปด้วยความสวยงาม พี่มองว่า เขาใช้ศิลปะในการสื่อสารที่ยอดเยี่ยมมาก

วันที่ 6 กันยายน 2562 สุกัญญาควงคนรักเข้าพิธีวิวาห์

เวทีของความหลากหลายนี้เขามีศิลปะมากในการสื่อสารของเขา แม้แต่เรื่องของหมุดพี่ก็มองว่ามันเป็นศิลปะ Abstact นะ พี่รู้สึกสนุกไปกับน้อง ๆ ด้วย

จริง ๆ มันเป็นสิ่งที่พี่ตีความของพี่ว่าเด็ก ๆ กำลังจะบอกผู้ใหญ่ว่าเรามีวิธีคิด เรามีวิธีบอกซึ่งแตกต่างจากวิธีคิดและวิธีบอกของผู้ใหญ่ ดังนั้น ความผิดความโกรธความเกลียดมันจะไม่ขึ้นอยู่กับผู้ที่กำลังจะบอก มันจะเกิดกับคนที่เป็นผู้ใหญ่ว่ามองเห็นไหมว่าเขากำลังจะบอกอะไร ถ้าคนที่คิดแบบไม่ลึก ก็จะมองว่าก้าวร้าว เหมือนที่พี่เล่าเรื่องลูกให้ฟัง ยอมรับไม่ได้ อีโก้เยอะก็จะมองเป็นอย่างนั้นไป แล้วก็จะมีคนบางกลุ่มที่ไม่สนว่าสิ่งที่เขาพูดคืออะไร แต่สนใจว่าภาษาไพเราะหรือไม่ เขียนหนังสือสวยหรือเขียนหนังสือหวัด คนที่มีค่านิยมเพียงแค่มองว่าสิ่งที่เห็นภายนอก สิ่งที่ได้ยินภายนอก คนแบบนี้จะไม่มีวันได้เข้าใจเยาวชนแบบนี้เลย ดังนั้น ถ้าผู้ใหญ่อยากเติบโต อยากเดินไปกับเวลาแล้วทำความเข้าใจกับสิ่งที่จะมาใหม่ ก็ต้องฝึกฝนความเข้าใจของตัวเอง ลดราวาศอกการเจ้ายศเจ้าอย่างลง แล้วก็ลดอีโก้ ฉันเป็นของฉันแบบนี้ เธอต้องเป็นคนที่ฉันอยากให้เป็น

เราจะไม่มีเลดี้กาก้าเลยถ้าไม่มีวัยรุ่นที่คิดอะไรนอกกรอบ เราก็คงมีดาวพระศุกร์กัน 20 รอบในโลกละคร เราก็คงมีบ้านผีปอบในโรงหนังอีก 100 ตอน แต่การคิดนอกกรอบของเด็กปัจจุบันมันเป็นการประดิษฐ์สิ่งที่จะอยู่ในสังคม ในชีวิตผู้ใหญ่ และในชีวิตของพวกเขาในอนาคต

แล้วทุกอย่างจะมาตามเวลา

พี่เห็นด้วยกับการที่ความหลากหลายทางเพศเปิดเผยมากขึ้น และการเรียกร้องที่เขาเรียกร้อง แต่ก็ยังคิดว่าอะไรที่มันมากไปก็อาจจะต้องตามลิมิต เพราะว่าของทุกอย่างมันจะมาตามเวลา พี่เองกว่าพี่จะแก่แล้วคิดแบบนี้พี่ต้องเดินตามเวลา ทุกอย่างมันมีธรรมชาติของมัน

แต่บางอย่างนี้น้อง ๆ พูด พี่ไม่รู้นะถูกใส่ความหรือเปล่า แต่ชุดความคิดที่ว่าพ่อแม่เกิดมาแล้วมีหน้าที่เลี้ยงไม่ได้มีบุญคุณ อันนี้พี่ไม่เห็นด้วย

เราชี้แจงว่า จริง ๆ ประโยคนี้เป็นหนึ่งในประโยชร์ที่ถูกหยิบไปใส่ในหลายบริบทมากเลย

พี่ถึงพูดว่าไม่รู้ว่ามีการใส่สีหรือเปล่าเพราะขบวนการใส่สีเวลาที่มีสถานการณ์บ้านเมืองมีเยอะจนคนที่อยู่ตรงกลางมึนงงไปเลยทีเดียว นี่ขนาดฝึกฝนตัวเองให้มีสติมาหลายปี ต้องไปฟัง เดี๋ยวนี้มันมีวีดีโอใช่ไหม ที่กล้าออกไปวันที่ 19 กันยายนเพราะไปดูวีดีโอวันที่เด็ก ๆ ขึ้นปราศรัยกัน

พี่ไม่ได้อยู่กับชุดความคิดกับการบอกเล่า หรือคนส่งลิงค์มาให้ดูอย่างนั้น อย่างนี้ ไม่เอาแบบนั้นแล้ว ต้องดูของจริง แต่เดี๋ยวนี้มันก็มีเอาแอนิเมชั่นมาปั้นเป็นหน้าคนพูดได้อีก อันนี้ก็น่ากลัวไปอีก แต่ก็เริ่มดูออกแล้วนะว่าอะไรตัดต่อ ตัดต่อ คืออะไร ดังนั้นพี่เป็นหนึ่งคนของคนแก่ที่พยายามอย่างมากที่จะไม่ถูกหลอก ถ้าจะฝากพี่คงไม่ต้องฝากเรื่องนี้กับเด็ก ๆ จะฝากก็แค่วัฒนธรรมไหนมันดีก็ควรเก็บไว้ แต่อะไรที่มันนอกกรอบหนูควรจะทำต่อไป แล้วทั้งคนรุ่นใหม่และคนรุ่นเก่า อะไรที่ซื่อสัตย์กับความคิดตัวเองจงแสดงออกไป ไม่จำเป็นต้องซับซ้อนซ่อนเงื่อนอีกต่อไปแล้ว มันทำให้เราไม่รู้ว่าใครคิดอะไร

หมายความว่า แม้จะไปชุมนุมวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา แต่ความแตกต่างระหว่างช่วงวัยก็ยังทำให้เรื่องของการแสดงออก การรับสาร มันก็ยังเป็นเรื่องที่ปรับตัวยากอยู่?

ใช่ ตอนพี่โตมาวัฒนธรรม 80 กับ 90 ก็แตกต่างกันมากแล้วนะ พี่เป็นด่านแรกที่จะต้องเจอการโจมตีจากคนหัวโบราณมาก ๆ เลยในตอนนั้น

แล้วตอนนี้วัฒนธรรมเด็กยุค 2020 ยุคดิจิตัลก็ต่างจากยุคอะนาล็อกรุ่นพี่อีก ดังนั้น การแสดงออก ถ้าเป็นคนกลุ่มเดียวกันรุ่นเดียวกันมันก็ไม่ใช่ปัญหา แต่ถ้ามันเริ่มเป็นสาธารณะที่มีคนหลากหลายวัย คนแก่ ๆ ยุค 80 ที่ยังมีชีวิตอยู่บ้างก็มี คนเหล่านั้นจะมีวัฒนธรรมความคิดแบบคนยุค 70-80 แล้วก็มาพี่ที่เป็นยุค 90 ก่อนปี 2000 รุ่นหนูมันเลยปี 2000 เข้ามาอีก ดังนั้น เจเนอเรชั่นที่มันห่างกัน 3-4 ยุค การสื่อสารจะมีปัญหากันมาก

สำหรับผู้ใหญ่เองที่ได้อ่าน สิ่งที่พวกหนู ๆ สื่อสารไปก็อยากจะบอกว่า ผู้ใหญ่ทั้งหลายก็ต้องเข้าใจว่าคุณอยู่ในเจนเนอเรชั่นใหม่แล้ว โชคดีแค่ไหนที่ยังไม่ตายกันไปแล้วยังอยู่ดูน้อง ๆ เขามีวิวัฒนาการ ดูโลกใบนี้มีวิวัฒนาการ

อย่าลืมว่า เอลวิส เพสลีย์ มาริรีน มอนโร ก็ตายไปแล้ว สิ่งที่เรามีอยู่คือภาพจำที่สวยงาม แล้วเราที่เป็นคนรุ่นแก่ที่อยู่มาจนถึง 2020 วันหนึ่งก็จะตายเหมือนกัน เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะอยู่ต่อไปก็คือ สิ่งที่เขาจะสร้างกันตอนนี้ เวลาที่เด็กรุ่นใหม่หรือคนรุ่นใหม่เขาสื่อสารอะไรมาก็อย่าเพิ่งตั้งแง่ต่อต้าน ผู้ใหญ่ต่อต้านเด็กก็มี เด็กต่อต้านผู้ใหญ่ก็มี ทำยังไงถึงจะสื่อสารกันแล้วลดแรงต่อต้านลง การพูดการแสดงออกการใช้ภาษาต้องเข้าใจว่ามันตามยุคตามสมัย ต้องลดละความชอบไม่ชอบออกซะแล้วมองว่าเนื้อหาของมันคืออะไร นี่ก็น่าจะลดช่องว่างระหว่างคนแก่กับคนรุ่นใหม่ได้ แต่คนแก่ที่มีหัวทันสมัยอยู่แล้วไม่ต้องกังวล เขาทันสมัยมาก ๆ

 

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า