‘ศุภชัย’ เปิดใจควบรวมทรู-ดีแทค “เพราะเราไม่สามารถเพิ่มมูลค่าต่อได้”

ประเด็นร้อนวันนี้คงหนีไม่พ้นกรณีข่าวควบรวมกิจการระหว่างผู้เล่นเบอร์ 2 และเบอร์ 3 ในธุรกิจโทรคมนาคมของประเทศไทยอย่าง ‘ทรู’ และ ‘ดีแทค’

ซึ่งในช่วงเช้าที่ผ่านมาของวันนี้ (22 พ.ย. 2564) เครือซีพีและกลุ่มเทเลนอร์ร่อนอีเมลแจ้งสื่อมวลชนถึงกรณีข่าวที่เกิดขึ้น โดยมีสาระสำคัญ คือ เครือซีพีและกลุ่มเทเลนอร์จะตั้งบริษัทใหม่ โดยให้ TRUE และ DTAC ปรับโครงสร้างธุรกิจ เพื่อให้เป็นบริษัทเทคโนโลยี

บริษัทใหม่ที่จะจัดตั้งขึ้น จะตั้งกองทุนมูลค่าประมาณ 100 – 200 ล้านเหรียญสหรัฐ (3,283 – 6,566 ล้านบาท) เพื่อลงทุนในผู้ประกอบการและสตาร์ทอัพบนแพลตฟอร์มดิจิทัล เน้นการสร้างผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ ให้กับคนไทย

ล่าสุด ในช่วงบ่ายวันเดียวกัน เครือซีพีและกลุ่มเทเลนอร์ได้แถลงข่าวเปิดเผยถึงความร่วมมือในครั้งนี้

โดย ‘ศุภชัย เจียรวนนท์’ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ และประธานกรรมการ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดใจย้ำถึงเหตุผลในการพิจารณาดีลครั้งนี้ว่ามาจากการเล็งเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงไปของแลนด์สเคปในธุรกิจโทรคมนาคมและเทคโนโลยีดิจิทัล

“ผมต้องขอเรียนว่าเราเล็งเห็นความเปลี่ยนแปลงของแลนด์สเคปหรือสนามในการแข่งขันของอุตสาหกรรม ซึ่งการเป็นผู้ประกอบการด้านโทรคมนาคมมาถึงจุดที่สามารถเพิ่มมูลค่าได้น้อยมากๆ

“ถ้าเรามองว่าทุกวันนี้เราใช้อะไรในการโทรศัพท์ เราใช้อะไรในการสื่อสารซึ่งกันและกัน เราใช้อะไรในการทำธุรกรรมต่างๆ แล้วก็การเพิ่มวิถีชีวิตให้เกิดวิถีชีวิตที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงขององค์กร ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็ก กลาง ใหญ่

“ผู้ประกอบการในกรณีของโทรคมนาคมมีบทบาทน้อยลงๆ เรื่อยๆ จนกระทั่งเราอาจเรียกตัวเอง หรือมีคนอื่นเรียกหมวดสื่อสารว่าเป็น Dumb Pipe หรือพูดง่ายๆ คือว่าเป็นท่อที่ไม่ฉลาด หรือท่อส่งอย่างเดียว”

นายศุภชัยยังกล่าวถึงความเปลี่ยนแปลงในเชิงเศรษฐกิจของโลกที่เกิดขึ้นตั้งแต่ยุค 1.0 ที่เป็นเรื่องเกษตรกรรม จนถึงทุกวันนี้ที่อยู่ในยุค 4.0 ที่เป็นยุคดาต้า และตอนนี้มาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญคือจากยุค 4.0 เข้าสู่ 5.0 เป็นยุคเทคโนโลยีอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นสิ่งที่โลกและประเทศไทยต้องการความเปลี่ยนแปลงอย่างมาก

“แต่เราก็เล็งเห็นว่าตัวเราทั้ง 2 บริษัท ก็มีข้อจำกัดที่ว่าเราไม่สามารถที่จะเพิ่มมูลค่าต่อได้ ข้อจำกัดที่ว่าเรายังคงเป็นผู้ประกอบการที่ทำเรื่องโครงสร้างพื้นฐานทางด้านโทรคมนาคมเป็นหลัก แล้วก็ข้อจำกัดเหล่านี้ทำให้เราไม่สามารถที่จะเพิ่มมูลค่าให้กับผู้บริโภคและให้กับประเทศไทยได้”

นายศุภชัยย้ำว่า ทั้ง 2 บริษัทเห็นบทบาทใหม่ที่สำคัญของตัวเองคือเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศในการสร้างเทคโนโลยีให้กับประเทศไทย ที่จริงๆ แล้วต้องอาศัยปัจจัยหลายประการในการขับเคลื่อนประเทศไทยเข้าสู่ยุค 4.0 หรือ 5.0 ซึ่งรวมไปถึงเรื่องระบบการศึกษาด้วย

“เราเห็นบทบาทของบริษัทใหม่ที่จะเกิดขึ้นระหว่างการพาร์ทเนอร์ชิปทรูและดีแทคในการที่จะเพิ่มมูลค่าและสร้างประโยชน์ให้กับส่วนรวม ประเทศ ตลอดจนประชาชนในประเทศ และฐานลูกค้าที่มีอยู่ของทั้ง 2 บริษัท

“สิ่งที่เรามองไปข้างหน้าว่าถ้าเราสามารถโฟกัสต่อไปได้บนพื้นฐานที่มีความแข็งแรงและเข้มแข็งมากขึ้น มากไปกว่าการที่เราจะให้เฉพาะโครงสร้างพื้นฐาน ในที่นี้เราจะพูดถึงการที่จะเป็นมากกว่าผู้ให้บริการโทรคมนาคม คือโฟกัสเข้าไปในเรื่องของ AI, ดิจิทัลมีเดียแพลตฟอร์ม, IoT, คลาวด์เทคโนโลยี, เทคโนโลยีอวกาศ และการเป็น VC เพื่อลงทุนในสตาร์ทอัพ

“โดยจะระดมทุนให้ได้ 100-200 ล้านเหรียญ เพื่อให้เทคสตาร์ทอัพไทยเติบโต และทรานส์ฟอร์มประเทศไทยให้เป็นฮับเทคโนโลยีของภูมิภาคและของโลกต่อไป”

ด้านนายซิคเว่ เบรกเก้ ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มเทเลนอร์ กล่าวว่า บริษัทใหม่นี้จะเป็นส่วนหนึ่งในการต่อยอด ยกระดับประเทศไทย ไปสู่การเป็นผู้นำในโลกดิจิทัลได้

นายซิคเว่ยังระบุถึงไทม์ไลน์ที่จะเกิดขึ้นในดีลครั้งนี้ โดยหลังจากประกาศความร่วมมือและวางแผนงานด้านความร่วมมือร่วมกัน คาดว่าในช่วงไตรมาส 1/2565 จะเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบวิเคราะห์สถานะธุรกิจ และลงนามข้อตกลงต่างๆ ได้ในภายในไตรมาส 2/2565

ขณะที่ในระหว่างนี้ ดีแทคและทรูจะยังคงให้บริการลูกค้าและดำเนินธุรกิจตามปกติ