Advertisement

SHARE

คัดลอกแล้ว

หมายเหตุ: สัมภาษณ์เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2561 ทีมข่าวเวิร์คพอยท์ขอย้อนนำมานำเสนอในปัจจุบัน ด้วยประเด็นยังคงทันเหตุการณ์ในสังคมอยู่

ฟังบทสัมภาษณ์เต็มๆ ผ่าน Podcast ของข่าวเวิร์คพอยท์

สุทธิชัย หยุ่น เป็นตำนานคนข่าว ที่ผลิตคนข่าวมาเป็นร้อยพันคนให้กับวงการ กับภาพที่คนติดตาในฐานะผู้ก่อตั้ง The Nation ก่อนที่จะมาเป็นเนชั่นทีวี อีกหลายหัว และทีม ตามยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงตลอด

สิ้นเดือนมีนาคม 2561 คุณสุทธิชัย หยุ่น ประกาศอำลาเนชั่น หลังการเข้ามาของบริษัท News Network Corporation เราได้นั่งคุยหนึ่งชั่วโมงเต็ม สอบถามถึงความรู้สึก ต่อบ้านหลังที่สองที่ชื่อว่าเนชั่น ที่ใช้เวลาสร้างขึ้นมานานกว่า 45 ปี

เนชั่นในวันที่ไม่มีคุณสุทธิชัย

มันก็เกิดขึ้นตามวัฏจักรที่มันควรจะเป็น ก็คือทางด้านผู้ถือหุ้นก็เปลี่ยนไป แล้วก็เป็นจังหวะการเปลี่ยนในวงการสื่อมันก็มีสูงมาก ก็เป็นจังหวะที่ผมว่าก็น่าจะเหมาะที่ผมจะเปลี่ยนรูปแบบชีวิตจากเดิมที่ต้องบริหารทั้งเครือ หนังสือพิมพ์ วิทยุ ออนไลน์ มหาวิทยาลัย อายุก็ 72 แล้ว ก็คิดว่าเป็นจังหวะที่อยากจะทำอะไรที่สนุก และที่คิดว่ามีจังหวะเวลาที่จะทำให้มันเต็มที่ได้ มิฉะนั้นถึงแม้อยากจะทำตอนที่ยังอยู่เนชั่น ก็ไม่มีเวลาทำ เพราะติดภารกิจมากมายก็เลยออกมาในจังหวะนี้ ซึ่งผมก็คิดว่าเหมาะสม ผมคิดว่าเนชั่นเองก็คงจะมีผู้นำใหม่ที่นำพาไปทิศทางธุรกิจที่เหมาะสมกว่า

สุทธิชัย หยุ่น ในวันที่ยังทำหน้าที่ผ่านหน้าจอเนชั่นทีวี

คุณสุทธิชัยสร้างเนชั่นมา 45 ปี รู้สึกว่ามันเป็นความสูญเสียไหม โดยทั่วไปแล้วคนที่สร้างอะไรมาก็ย่อมไม่อยากจะเสียมันไป

ผมเชื่อในเรื่องความเป็นชาวพุทธนะ ชาวพุทธจะบอกว่ามันเกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วก็ดับไป ผมก็รู้ว่าวันหนึ่งมันต้องเกิดลักษณะนี้ แล้วก็ได้เตรียมตัวพอสมควรทั้งในแง่ของโครงการชีวิตในช่วงท้าย ๆ กับวิถีของการที่จะใช้เวลากับอะไรบ้าง ฉะนั้นเสียดายไหม ความรู้สึกที่กระทบความรู้สึกเดิม ๆ หรือว่าความรู้สึกทั่วไปว่าเราทำมากับมือตัวเองมาสี่สิบกว่าปีแล้วมาหลุดหายไป ก็คงไม่ใช่

ผมมองว่า ผมยื่นมอบในสิ่งที่ผมทำมา 45 ปี ให้กับอีกรุ่นหนึ่งที่เขาจะรับช่วงต่อไปได้ แล้วก็แน่นอนว่าความพยายามที่ผมให้เครือเนชั่น คนในเนชั่น ปรับตัวให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยยีเนี่ย เมื่อมันใหญ่ผมเปรียบมันเหมือนเรือเอี้ยมจุ๊น ใหญ่แล้วมันวิ่งเข้าไปในพายุของเทคโนโลยีมันไม่มีความคล่องตัวพอ หลายอย่างตอนที่ผมอยู่เนชั่นมันทำไม่ได้ เพราะความที่มันใหญ่ ความที่มันมีโครงสร้างที่ค่อนข้างจะเทอะทะ ทำให้ผมรู้สึกว่าจังหวะนี้ก็ดี ถ้ามีกลุ่มบริหารรับช่วงไป เพราะว่าคิดว่าน่าจะทำได้ดี ผมก็จะได้ออกมาแล้วเอาเรือลำเล็ก ๆ วิ่งที่ผมเรียกว่าสปีดโบ๊ทวิ่งไปในทิศทางที่ผมอยากจะไป

ที่มา สุทธิชัยคือเนชั่น เนชั่นคือสุทธิชัย วันนี้มันไม่ใช่แล้ว มันมีความผิดพลาดอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า?

ผมไม่คิดว่ามันเป็นความผิดพลาด ผมคิดว่ามันเป็นสิ่งที่เกิดเพราะว่ามันเป็นโครงสร้างของธุรกิจปกติ ถ้าถึงจุดหนึ่ง มีกลุ่มผู้ถือหุ้นลงมติว่าจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหาร ผมก็ต้องเคารพในกติกานั้น แล้วผมก็ไม่เคยยึดถือว่าเนชั่นจะต้องอยู่กับผม หรือผมต้องอยู่กับเนชั่นตลอดไป ถ้ามันถึงในจุดที่ผมสร้างอะไรใหม่ในรูปแบบที่ผมคิดว่าน่าจะทำ แล้วถ้ากรอบเวลามันกำหนดให้ผมอายุขนาดนี้แล้วเนี่ย ถ้าผมอายุ 40-50 ปี อาจจะเป็นอีกแบบหนึ่งก็ได้ แต่พออายุ 70 เวลาที่เหลือ แล้วสุขภาพร่างกาย สภาพจิตของผมยังสามารถจะทำได้

ผมควรจะต้องแยกตัวออกมาที่จะทำ ถ้าผมยังอยู่ต่อผมก็มีภาระ ความรับผิดชอบ เวลาที่ต้องเสียไปกับมัน ผมไม่สามารถทำสิ่งที่ผมคิดว่าสังคมอาจจะได้ประโยชน์มากกว่า ถ้าผมออกมาแล้วก็ทำเนื้อหาที่ผมคิดว่าสังคมไทยน่าจะได้รับมากกว่าที่จะอยู่เดิม แล้วก็คิดว่าเป็นของเรา หรือเขาเป็นเรา เราเป็นเขาเหมือนกันเนี่ย มันไม่น่าจะเกิดประโยชน์อะไรกับผู้ที่ต้องการ หรือว่าคาดหวังต้องการเนื้อหาดี ๆ ที่จะสามารถผลิตออกมาได้

บ้านคุณสุทธิชัยอยู่ใกล้ๆ เนชั่น ถึงวันนี้เวลาขับรถผ่านความรู้สึกเป็นอย่างไร?

ความรู้สึกมันก็แปลก ๆ บางครั้ง อย่างที่บอกว่าเวลาที่เหลือเนี่ย ผมไม่มีเวลาไปมองข้างหลังมากเกินไป แล้วสิ่งที่ทำปัจจุบันก็ไม่เหมือนกับตอนที่ผมเริ่มทำเนชั่นมา หรือสี่สิบกว่าปีที่ผมทำเนชั่นมา ผมก็หวังว่าเมื่อผมออกมาแล้ว ทำให้ดูเป็นตัวอย่างว่ามันไม่จำเป็นต้องใหญ่ มันสำคัญที่สมองและวิธีการสร้างเนื้อหา แล้วเดี๋ยวนี้อุปกรณ์ก็ไม่ได้ยุ่งอยากซับซ้อนเหมือนแต่ก่อนแล้ว มือถือ อุปกรณ์กล้องไม่ต้องวิลิศมาหรามากมาย มันอยู่ที่จินตนาการ มันอยู่ที่การใช้วิธีการคิดการผลิตเนื้อหา ซึ่งมันออกมาในหน้าจอทีวีด้วย ออกมาในมือถือด้วย ออกในเว็บไซต์ต่าง ๆ ด้วย คนดูอาจจะไม่ได้มานั่งดูว่าคุณใช้กล้องแพงเท่าไหร่ ห้องส่งคุณต้องใช้เงินกี่ร้อยล้านในการสร้าง คุณมีอุปกรณ์ที่ล้ำสมัยอย่างไร

ไม่กี่ปีก่อนตอนที่ตั้งทีวีดิจิทัลใหม่ ๆ ค่านิยมเป็นอย่างนั้น มีนักข่าว มีพิธีกรเนชั่นมาต่อว่าต่อขานว่า คุณสุทธิชัยไม่ยอมลงทุน แต่คนอื่นเนี่ย ห้องส่งของช่องนั้นช่องนี้เนี่ยเขาลงไปห้าหกร้อยล้าน คุณสุทธิชัยขี้เหนียว ไม่กล้าลงทุนแล้วไปสู้เขาได้อย่างไร ผ่านมาสามปีวันนี้สี่ปี ผมอยากจะให้คนที่วิจารณ์หรือคิดแบบนั้นตอนนี้กลับมาคิดทบทวนใหม่ ว่าจริงหรือการลงทุนในอุปกรณ์ทันสมัยแบบนั้น แต่สมองวิธีการทำรายงานข่าว การทำข่าวของคนข่าวไม่ได้พัฒนา มันไปได้ไหม แล้วจริง ๆ สังคมได้ประโยชน์อะไรจากการลงทุนอย่างนั้น แต่คนข่าวเองไม่พัฒนา หรือไม่รู้สึกว่าตัวเองจะต้องเปลี่ยนแปลงให้ทันกับสิ่งที่ผู้ชม ผู้ดู หรือผู้บริโภคคาดหวัง ฉะนั้นผมคิดว่าเป็นจุดใหญ่ ผมถึงออกมาเพื่อที่จะทำให้ดูว่า ไอ้แบบที่ผมพูด ผมทำ ผมไม่ใช่ประเภทนั่งอยูในหอคอยงานช้างแล้วก็สั่ง แล้วก็ตัดค่าใช้จ่ายอย่างเดียว เขาคิดว่าผมขี้เหนียว ตัดค่าใช้จ่ายลดโน่นลดนี่

คุณสุทธิชัยกังวลไหมว่าเนชั่นเวย์ที่ฝังอยู่ในคนเนชั่น อีกสองสามปีผ่านไปมันอาจจะหายไปได้?

ก็กังวลบ้าง แต่ผมก็เชื่อว่า ถ้าหากคนที่มารับช่วงทำต่อไป แล้วคนเนชั่นที่ยังอยู่ต่อเห็นความสำคัญของความน่าเชื่อถือ ของความเป็นมืออาชีพสื่อ เขาคงจะต้องปกปักรักษาสิ่งที่เรียกว่า ‘เนชั่น เวย์’ หรือว่าหลักจริยธรรมของคนทำข่าว มันไม่ใช่หลักจริยธรรมของผม มันเป็นหลักการสากล ที่ผมเชื่อว่าใครก็ตามถ้าต้องการทำสื่อที่ประชาชนไว้วางใจและซื่อสัตย์ต่อผู้บริโภคสื่อ เขาก็ต้องยึดหลักการดียวกันนี่แหละ มันไม่ใช่เพราะ ผมอยู่มันถึงเกิด

แต่เป็นเพราะผมคิดว่า ตอนนั้นผมคิดว่าเนชั่นควรจะต้องมีกรอบของกติกาจริยธรรมที่เป็นคำมั่นสัญญากับประชาชนว่า เราเป็นหนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า อย่างนี้ ถ้าเราไม่ใช่อย่างนี้แปลว่าเราผิดจากข้อตกลงของสังคม ฉะนั้นสังคมก็จะเชื่อว่า นี่คือสิ่งที่คนเนชั่นรับปาก มีคำมั่นสัญญาเอาไว้ ผมก็เชื่อว่า ใครก็ตามที่มาทำต่อควรจะต้องรักษากฎ กติกาแหล่านี้ คนที่ออกไปจากเนชั่น ถ้าเขายึดถือหลักปฏิบัติเหล่านี้ เขาก็จะมีความน่าเชื่อถือ ฉะนั้นผมก็พูดว่าความเป็นเนชั่นไม่จำเป็นจะต้องอยู่ในโครงสร้างของเนชั่นเสมอไป คุณออกมา คุณยังอยู่ คุณก็เป็นเนชั่นได้ ถ้าหากเชื่อว่าความเป็นเนชั่นหมายถึงการเป็นสื่อที่อิสระ รักเสรีภาพ และต่อสู้เพื่อความถูกต้อง ความจริงและไม่มีใครมาสั่งบังคับให้รายงานข่าว หรือไม่รายงานข่าวทางใดทางหนึ่ง ผมว่านี่คือความเป็นเนชั่น ความเป็นเนชั่นคือความเป็นนักข่าวที่ดี นักข่าวที่มีจริยธรรมนี่แหละ

การยุติของ Suthichai Era คนก็จะพูดอยู่สองสามอย่าง อย่างเช่นอันแรกประมูลทีวีดิจิทัลสองช่อง คุณสุทธิชัยคิดว่าอันนี้เป็นความผิดพลาดไหม

ไม่ผิดพลาด เพราะ ขณะนั้นตอนนั้นเราเห็นโอกาสแล้วเราก็มองว่าช่องหนึ่งช่องข่าว ซึ่งเราก็ได้ดีอยู่แล้ว แล้วก็เป็นโอกาสที่เราจะสามารถสร้างความเป็นสถานีข่าว เพราะว่าเราก็พยายามกันมาตลอด ช่องต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น UBC8 ไม่ว่าจะเป็นITV แต่ว่าเราไม่มีสิทธิ์เต็มที่ เราเป็นเพียงไปอาสาทำบางส่วนเท่านั้นเอง แต่ว่าพอมีโอกาสที่เราจะทำได้เต็มที่เนี่ย ช่องข่าวเป็นช่องที่เราต้องทำ อีกช่องหนึ่งเป็นช่องที่เราคิดว่าน่าจะมีสาระที่ไม่จำเป็นต้องเป็นข่าวอย่างเดียว เราก็อยากจะสร้างเป็นสารคดีดีๆ เป็นเนื้อหาที่ไม่จำเป็นต้องหนักไปทางเรื่องข่าวแต่ว่าเป็นเรื่องที่จะสร้างเนื้อหาที่สร้างประโยชน์ด้วย ไม่ว่าจะเป็นรายการเด็ก ไม่ว่าจะเป็นสารคดีอื่นที่คนอื่นไม่ทำ หรือว่าจะเป็นทางออกที่จะให้เกิดเนื้อหาที่คนรุ่นใหม่สามารถนำเสนอแล้วก็ออกมาเป็นลักษณะที่ต่างจากข่าว ต่างจากข่าวแต่ก็เนื้อหาที่สร้างสรรค์ได้ เราก็คิดว่าถ้า กสทช. ทำตามที่รับปากคือมีจำนวนคนดูที่มากพอสมควร และเราสามารถสร้างเนื้อหาได้ดีพอสมควร มันน่าจะไปด้วยกันได้

แต่ว่าหลายปัจจัยที่มาอยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา มันเกิดขึ้น ผมก็ยังคิดว่าเป็นการตัดสินใจสำหรับคนทำสื่อในจังหวะอย่างนั้น แต่ต้องเดินไปข้างหน้า เรารู้ว่าเราเหนื่อยแน่ แต่เรารู้ว่าไม่มีอะไรง่าย ถ้าเรามีเวลาสามถึงห้าปีในการตั้งไข่สำหรับช่องอีกช่องหนึ่งได้ มันก็น่าจะไปได้ เพราะว่าเราต้องการสร้างเนื้อหาที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน แต่ว่าหลาย ๆ ปัจจัย กสทช. เศรษฐกิจ แล้วก็แน่นอนเราด้วยที่เรายังไม่สามารถสร้างคน บุคลากรเนื้อหาได้เพียงพอ

ฉะนั้นสามสี่ปัจจัยมันก็ทำให้ไม่สามารถจะเกิดได้ ก็เหมือนกันหลาย ๆ ช่องเผชิญอยู่เช่นเดียวกัน คือการประเมินสถานการณ์ การประเมินถึงพฤติกรรมผู้ชม เพราะฉะนั้นยังไม่ได้เปลี่ยนจากทีวีมาเป็นมือถือมากมายขนาดที่เราเห็นอยู่ปัจจุบัน ฉะนั้นจะบอกว่าผิดพลาดในแง่ของการประเมินความเปลี่ยนแปลง ก็อาจจะใช่แต่ว่าจะบอกว่าผิดพลาดเพราะว่าไปทำในสิ่งที่ไม่ควรจะทำในแง่ความมุ่งมั่นของคนทำสื่อ ผมว่าไม่ใช่ ผมว่าคนทำสื่อต้องกล้าเสี่ยง ต้องกล้าสร้างอะไรใหม่แล้วต้องรู้ด้วยว่าข้างหน้าจะต้องมีพายุ แต่พายุครั้งนี้จะมาจากทุกทิศทุกทางเลย มันยิ่งกว่า Perfect Storm มาทั้งบนล่างซ้ายขวาหน้าหลังเลย ฉะนั้นมันก็เลยทำให้เกิดภาวะที่เราคาดไม่ถึง

เนชั่นยุคคุณสุทธิชัย กับคำครหาเรื่องความเป็นกลาง

คุณเอมก็อยู่ในห้องข่าวระยะหนึ่งที่เนชั่น ข้อหนึ่งก็คือว่า คุณเอมจะไม่ได้รับการสั่งมาจากหัวหน้าว่าจะต้องเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับหัวหน้า บ.ก. โปรดิวเซอร์ จะไม่มีใครบอกว่าคุณสุทธิชัยต้องการให้คุณคิดอย่างนี้ หรือรายงานข่าวแบบนี้ ไม่มี

ผมเชื่อว่าห้องข่าวเนชั่นเป็นห้องข่าวที่มีเสรีภาพมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก คุณจะไม่เคยเห็นว่า เราห้ามไม่ให้ใครคิด หรือไม่คิดอย่างไร แล้วแต่ว่าคุณมีความคิดเห็นทางการเมืองอย่างไร แต่เราบอกว่าเวลาปฏิบัติหน้าที่จะต้องพยายาม เราไม่สามารถจะทำได้เพอร์เฟค พยายามที่จะไร้อคติ หรือ Impartial ไม่ใช่ Neutral นะคำว่า Neutral แปลว่ากลาง แต่มันยากที่คนข่าว ก็เป็นมนุษย์ธรรมดา มีความคิด ความอ่าน มีเพื่อน มีฝูง มีความเชื่อทางการเมือง ที่จะเป็น Neutral หรือกลาง เราจึงพูดถึงคำว่า Impartial ซึ่งภาษาอังกฤษก็คงจะแปลว่า ไม่ Take Side ไม่มีอคติ แต่ก็หนีไม่พ้น รายการข่าวมีรายการที่มีความคิดเห็นด้วย ฉะนั้นมันก็มีช่วงข่าว ซึ่งเราก็จะบอกว่านักข่าวเรา ภาษาข่าว วิธีการเขียนข่าวจะต้อง Impartial คุณชอบหรือไม่ชอบอยู่ในใจคุณ แต่คุณจะต้องแสดงออก เวลานำเสนอต้องให้คนดูรู้ว่าคุณได้ข้อมูลมารอบด้านมากที่สุด

พิธีกรบางท่านมีความเชื่ออย่างนั้น อย่างนี้ บางครั้งรายการข่าวมีทั้งเล่าข่าว มีทั้งรายงานข่าว มีทั้งวิเคราะห์ข่าว วิเคราะห์ข่าวกับรายงานข่าว เรายืนยันว่าคุณจะต้องพยายามที่สุด ที่จะไม่แสดงให้เห็นว่าคุณมีความลำเอียง แต่พิธีกรเวลาพูดหรือแสดงความคิดเห็น คือรูปแบบของการเล่าข่าว ความจริงเนชั่นเป็นผู้ริเริ่ม คำว่าเล่าข่าว หมายถึงการเล่าที่เล่าถึงสีสัน เบื้องหลัง ข่าวคราว ก็แน่นอนหนีไม่พ้นว่าบางครั้ง พิธีกรอาจจะใส่ความเห็น ซึ่งคนดูก็รู้ว่าคน ๆ นี้คิดอย่างนี้ แต่ไม่ใช่ตัวแทนของสถานี หรือเป็นตัวแทนของการรายงานข่าว ในเนชั่นเวย์ก็จะบอกว่าไม่ให้ผู้สื่อข่าว หรือคนทำข่าวของเราไปมีบทบาทเกี่ยวข้องทางการเมือง

กรณีที่คุณเอมเอ่ยถึงก็มีการเตือน มีการบอกว่าไม่ควรจะทำ แล้วก็ไม่น่าจะให้เกิดขึ้นเช่นนี้ได้ก็มีการเตือนเป็นระยะ ๆ ผมก็เชื่อว่าหัวหน้าเขาก็มีการเตือน แล้วก็คนเตือนไม่ใช่แค่คนสองคน มันก็มีคนในกองบ.ก.ของเนชั่นที่เห็นด้วยกับฝั่งหนึ่ง อีกกลุ่มหนึ่งเห็นด้วยกับอีกฝั่งหนึ่ง ฝั่งนี้ก็จะมองว่าอีกฝั่งหนึ่งลำเอียง อีกฝั่งนี้ก็จะเห็นว่าฝั่งหนึ่งลำเอียง ฉะนั้นก็เป็นหน้าที่ของบ.ก. หน้าที่ของโปรดิวเซอร์ หน้าที่ของผู้บริหารเนชั่นทีวีที่จะต้องเตือน ที่จะตบให้เข้ามาอยู่ตรงกลาง แล้วก็ให้เข้ามาอยู่ตรงที่ควรจะเป็น ผมก็เชื่อว่าเราก็มีจุดบกพร่องก็มีเตือนกัน บางครั้งก็เชื่อบางครั้งก็ไม่เชื่อ แต่ว่าตลอดเวลานั้นถ้าไปย้อนดู ไม่ว่าจะเป็นในไลน์ ไม่ว่าจะเป็นข้อความส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นการเรียกมาคุยก็มีการเตือนกัน

ในการทำงานมันก็จะมีการโต้แย้ง วิถีทาง วิธีการทำงานกัน ผมก็เชื่อว่าเราไม่สามารถอ้างได้ว่าเราร้อยเปอร์เซ็นต์ Impartial ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่มีความพยายาม มีการเตือน มีการว่ากล่าว ไม่มีการสนับสนุนให้ทำ เอางั้น จะไม่มีการบอก ดีแล้ว ๆ คนนี้ทำดีแล้ว เพราะว่าเราเชียร์พรรคนั้น เราอยู่ฝั่งนี้ ไม่มี นโยบายจากสูงสุดลงมาไม่มีนโยบายแบบนั้น ผมก็เชื่อว่าคุณเอมก็รู้ว่าไม่มี มาบอกคุณเอมว่าข่าวนี้ไม่ควรออก เพราะว่าไม่ใช่พวกเรา ข่าวนี้ให้ออกเยอะหน่อย เพราะว่าสนิทกับคุณสุทธิชัย หรือว่าหัวหน้า หรือว่าเป็นผู้ลงโฆษณากับเรา ไม่มี ผมยืนยันว่าไม่มี

มันเป็นเพราะว่ามันต้องสวมบทบาทหมวกสองใบไหม หมวกหนึ่งเป็นนักสื่อสารมวลชน อีกหมวกหนึ่งก็เป็นนักบริหาร หลาย ๆ ปัญหามันมีความขัดแย้งกันในตัวเองไหม ที่แม้ว่าจะไม่ถูกใจคุณสุทธิชัย แต่ว่าคุณสุทธิชัยจะต้องปล่อยมันไป

สำหรับผมไม่เคยมี สำหรับผมไม่เคยมีความขัดแย้งระหว่างความเป็นนักข่าวกับการที่ต้องบริหาร แล้วผมก็พูดตรงไปตรงมากับคนที่ผมคิดว่า ทำผิดหลักการที่ผมคิดว่ามันควรจะเป็น แต่ว่าผมก็ให้อำนาจกับบริหารเป็นขั้นตอนเป็นตอนลงมา เพราะว่าผมไม่สามารถไปเช็คทุกข่าว หรือว่าไปสั่งให้คนนี้ไม่ทำ หรือทำในแง่ของการที่ไม่ถูกหลักการ ไม่ถูกด้วยหลักจริยธรรม แต่ผมก็ให้ความเห็นไปว่าอันนี้ไม่ควรจะเป็น หรือว่ามีคนร้องเรียน มีคนบอกว่า เมื่อคืนนี้ดูข่าวนี้ ดูข่าวนั้น พิธีกรนักข่าวคนนั้นมีอคติมากเลย ต่าง ๆ นานา เราก็ส่งสัญญาณเตือนออกไป แล้วก็จะผ่านไลน์ผม ถ้าไปย้อนดู ไม่เคยมีที่แบบว่าฟังแล้วก็เฉย เพราะว่ามันเป็นคำมั่นสัญญาของผมกับคนทั้งสังคมไทยด้วยว่า ผมจะดูแลเรื่องนี้แล้วก็จะแคร์เรื่องนี้มากที่สุด

มองสมรภูมิสื่อวันนี้เปลี่ยนไปไหมอย่างไรบ้าง?

เปลี่ยนไปเยอะ เปลี่ยนไปตั้งแต่ยุคที่ผมคิดว่า Long-form journalism คือการรายงานข่าวที่ละเอียดรอบด้าน เจาะลึกให้โอกาสทุกฝ่ายที่จะได้พูด แล้วก็ให้คนดูอ่านตัดสินเองมันเปลี่ยนไป ทุกวันนี้คนทำสื่อพยายามอยากจะให้คนเชื่อตัวเอง แล้วก็ไม่เชื่ออีกฝ่ายนึง ซึ่งอันนี้ทำให้ค่านิยมหรือคุณค่าของการทำสื่อสารมวลชนผมคิดว่ามันด้อยไปมันไม่ใช่เป็นคนที่ทำหน้าที่เป็นกระจกส่องสังคม กระจกมันต้องส่องแล้วให้มันสะท้อนตามที่มันเป็นอยู่ แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้เรากำลังใช้กล้องขยาย แล้วก็ส่องเฉพาะจุดที่เราอยากจะส่อง แล้วมันก็จะขยายจุดเฉพาะจุดที่เราต้องการขยาย ซึ่งมันก็ทำให้สังคมที่ควรจะได้ประโยชน์จากการทำหน้าที่ตรงนี้มันหายไปพอสมควร

มันเป็นเพราะสาเหตุนี้หรือเปล่าทำให้ คือคุณสุทธิ์ชัยยึดในหลักการเดิม ไม่ได้โอนเอียงไปกับสถานการณ์

พยายาม ผมไม่ได้บอกว่าผมทำได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ผมก็พยายามที่จะยังยึดหลักว่าไม่ตามกระแส

หรือเพราะว่าเหตุการณ์นี้ทำให้คุณสุทธิชัยไม่ได้เป็นหัวเรือใหญ่ในสำนักสื่อแล้ว

ก็อาจจะเป็นเช่นนั้นก็ได้ แต่ผมก็คิดว่า ยังไง ๆ ผมต้องยึดว่าหลักการทำสื่อที่ถูกต้องนั้นคือการเคารพในหน้าที่ของการพยายามไม่ใช่ตามกระแสอย่างเดียว จริง ๆ แล้วเนชั่นเป็นคนนำกระแสเสมอ พยายามที่จะเข้าไปทำ จะเป็นแนวทางข่าวก็ดี วิธีการนำเสนอก็ดี ก่อนสังคมหรือว่าก่อนส่วนต่าง ๆ ของสื่อจะทำ ฉะนั้นก็แน่นอนครับว่า สมัยหนึ่งเราถูกมองว่าล้ำหน้าเกินไป สมัยนี้อาจจะมองว่าผมไม่ทันกับกระแสที่เป็นอยู่ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าผมจะล้าหลัง

ผมคิดว่าพยายามที่จะรักษาคุณภาพ Quality Journalism ผมคิดว่ามันสำคัญมาก เพราะการแข่งขันทุกวันนี้มันทำให้คุณภาพของคนข่าวมันด้อยคุณภาพลงไปมาก ไม่ได้มองว่าจิตสำนึกจริง ๆ ของคนทำข่าวนั้น คือการพยายามทำให้สังคมดีขึ้น พยายามเจาะอะไรที่มันลง และเป็นประโยชน์ต่อสังคม แต่จะตามกระแสขอให้มีคนกดไลค์เยอะ ๆ ขอให้มีคนแชร์เยอะ ๆ แล้วนั่นคือความสำเร็จหรือนั่นคือฉันประสบความสำเร็จแล้ว อันนั้นผมคิดว่าเป็นอันตรายมาก เพราะมันจะไม่มีใครดึงอยู่เลย ไม่มีใครสามารถดึงแล้วบอกว่า เอ๊ะ สังคมได้อะไรจากเราหรือเปล่า หรือว่าเราเป็นเพียงส่วนหนึ่งของกระแสน้ำที่พัดแล้วเราก็ถูกพัดผ่านไป อะไรคือคุณค่าที่คุณกล้าคิดแตกต่าง ที่คุณกล้าสวนกระแส เพราะสมัยก่อนคุณต้องสวนกระแส คุณจะสร้างคุณภาพได้ ตอนนี้มันดูเหมือนว่าถ้าคุณตามกระแสคุณจะโดดเด่นในสื่อ ซึ่งผมคิดว่ามันไม่ถูกต้อง

คุณสุทธิชัยก็ยังมีพลังอยู่ ไม่ขอพักก่อนหรือครับ ทุกวันนี้ก็ยังไลฟ์สัมภาษณ์อยู่เลย

การพักผ่อนของผม คือการได้ทำในสิ่งที่สนุก ในสิ่งที่ผมคิดว่าท้าทาย และในสิ่งที่ทำให้สมองผมแล่น ทำให้สมองของผมมันไม่หยุด แต่ว่าไม่ได้แปลว่าผมไม่ได้พักผ่อนนะ ผมก็พักผ่อน อ่านหนังสือบ้าง ออกกำลังกายบ้าง แล้วก็ดูอะไรก็ตามแต่ที่ไม่ใช่งานประจำ ซึ่งผมคิดว่านั่นแหละเป็นวิธีการพักผ่อนของผม

podcast

LATEST
OUR PICKS
HOT
กำลังโหลดบทความถัดไป...

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า