คุยกับผู้บริหาร What The Duck โอกาส T-POP ไปไกลตลาดโลก ขึ้นอยู่กับอะไรบ้าง?

‘ดนตรี’ เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญในการแสดงให้เห็นถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของแต่ละประเทศได้ง่ายและเร็ว ถือเป็นธุรกิจด้านอีโมชันนัลอย่างหนึ่งที่มีศักยภาพต่อเศรษฐกิจ

โดย Sony Music Entertainment Thailand ได้เปิดเผยมูลค่าอุตสาหกรรมเพลงไทยเมื่อปี 2022 มากกว่า 3,525 ล้านบาท เพิ่มจากปี 2021 กว่า 15%

จากกระแสความนิยมของ K-POP ของเกาหลีใต้ ถือเป็นตัวอย่างประเทศที่มีเศรษฐกิจอิงแอบกับอุตสาหกรรมดนตรีค่อนข้างแน่นเหนียว โดย K-POP ทำให้เกาหลีใต้กลายเป็นประเทศที่มีตลาดดนตรีใหญ่เป็นอันดับ 6 ของโลกตั้งแต่ 5 ปีก่อน และยังอยู่เป็นท็อปอันดับต้นๆ ของโลกมาตลอดจนปัจจุบัน

มอย – สามขวัญ ตันสมพงษ์ ผู้ร่วมก่อตั้ง What The Duck ได้คุยกับ TODAY Bizview ถึงประเด็นการสร้าง T-POP ในประเทศไทยว่า ณ ตอนนี้กระแสเกี่ยวกับ T-POP เองก็ค่อนข้างเป็นบวก โดยเฉพาะในประเทศเพื่อนบ้านของไทยที่มองและศึกษาไทยเหมือนเป็น ‘พี่ใหญ่’

“กระแส T-POP ก็เริ่มมาจากพี่กร (ชลากรณ์ ปัญญาโฉม บิ๊กบอสแห่งค่าย XOXO Entertainment) นั่นแหละ T-POP ตอนนี้ตลาดเปิดกว้างมากๆ เมื่อก่อนจะเป็นอินดี้ป๊อป ไม่มี T-POP อย่างทุกวันนี้” มอย – สามขวัญ แชร์ให้ฟัง

เขามองว่า T-POP คนที่ปลุกปั้นต้องจับกระแสให้ได้ และต้องเร็วด้วย อาจเพราะว่ากระแสในสมัยนี้เปลี่ยนไปค่อนข้างเร็ว ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้กระแส T-POP เกิดขึ้น

“คนเริ่มหันมามองเมืองไทยมากขึ้น อย่างศิลปินวง 4EVE ก็บินไปต่างประเทศทุกเดือนอยู่แล้ว หรือวง scrubb ก็มีทัวร์ในเอเชียใต้ และในญี่ปุ่น, The TOYS กับ BOWKYLION ของ What The Duck ก็บินไปต่างประเทศ โดยเฉพาะในจีนกระแสดีมากๆ”

[ ซีรีส์วายกับ T-POP รวมกันค่อนข้างดี ]

อย่างที่เราเห็นกันบ่อยๆ กระแสจิ้น กระแสวาย ทั้งละครหรือซีรีส์ในไทยตอนนี้กำลังมาแรง สำหรับ มอย – สามขวัญ มองว่า กระแสวายมีส่วนอย่างมากต่อความนิยม T-POP เขาพูดว่ามีหลายครั้งที่ซีรีส์วายก็เปิดตลาดให้กับ T-POP ไปด้วย

“อย่าง เจฟ ซาเตอร์ ที่ความนิยมส่วนหนึ่งมาจากซีรีส์วาย (จากเรื่อง KinnPorsche The Series รักโคตรร้าย สุดท้ายโคตรรัก) ศิลปินเองก็แข็งแรงขึ้นด้วย”

เขาพูดว่า อยู่ที่ผู้จัด ค่ายเพลงว่าจะ keep up กระแส T-POP กันอย่างไร แนวเพลง โปรดักชั่น ศิลปิน สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดต้องวางแผนว่าจะผลักดันไปให้ไกลถึงต่างประเทศมากขึ้นได้อย่างไร

ถ้าอย่าง What The Duck เองเขาเปิดเผยว่า เน้นเจาะไปที่ประเทศในเอเชีย เช่น จีน, ไต้หวัน เพราะพวกเขาฟังเพลงไทยเยอะมากๆ คนจีนจะมีความคลั่งไคล้เพลงไทย ภาษาไทย จนถึงขั้นลงเรียนคอร์สภาษาไทย

นอกจากนี้ ก็จะเป็นญี่ปุ่น, อินโดนีเซีย, สิงคโปร์ ที่เล็งๆ ไว้ว่าจะเจาะตลาดต่อไปอย่างไร แต่เกาหลีใต้เป็นตลาดที่ยาก เพราะตลาดเพลงค่อนข้างแกร่ง

“การดันให้ศิลปินคนไทยไปเฟสติวัลต่างประเทศ เช่น ในญี่ปุ่น ที่ผ่านมามีเยอะมากๆ ก็ถือว่าเป็นการเปิดตลาดที่น่าสนใจ แต่ต้องวางแผนดีมากๆ”

วิธีการที่จะช่วยผลักดันให้ T-POP เป้นที่รู้จักมากขึ้น โดยสรุปที่ มอย – สามขวัญยกตัวอย่างมาก็คงจะเป็น การแสดงในซีรีส์วาย หรือการแสดงละครก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ รวมไปถึง การบินไปเล่นคอนเสิร์ตในต่างประเทศ และร่วมงานในเฟสติวัลของต่างประเทศ

ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้ What The Duck ก็เพิ่งเปิดตัวบ้านใหม่ที่ชื่อว่า Sauce จับกระแสแนวเพลงป๊อป, ฮิปฮอป, แนวเพลงที่คน gen Z ชอบ และอยู่ในแพลตฟอร์ม TikTok มากขึ้น

อย่างที่ มอย – สามขวัญพูดทิ้งท้ายว่า “ปี 2025 เป็นปีของ T-POP” จากนี้ก็คงอยู่ที่ว่า ผู้จัดและค่ายเพลงเจ้าไหนจะใช้กลยุทธ์ที่น่าดึงดูด และเจาะเค้กก้อนนี้ทั้งในไทยและต่างประเทศด้วยวิธีต่างๆ ตามความถนัด ก็เท่านั้นเอง