ครูในจีนเกินดุล สวนทางเด็กเกิดน้อยลง ครูประถม-มัธยมฯ เสี่ยงตกงาน
หลายสิบปีที่ผ่านมาโรงเรียนในจีนจะมีนักเรียนต่อห้องจำนวนมาก โดยเฉพาะบางเขตเมืองจะมีจำนวนนักเรียนมากถึง 50 คน ต่อห้อง ถ้าเป็นโรงเรียนในพื้นที่ชนบท มีเฉลี่ย 30 คนต่อห้อง
ถ้าค่าเฉลี่ยยังเป็นตามนี้ การวิจัยของนักวิชาการในมหาวิทยาลัยปักกิ่งบอกว่า ภายในปี 2578 จะมีครูในระดับชั้นประถมศึกษามากกว่า 1.5 ล้านคน และครูระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น 370,000 คน
ตัวเลขรวมครูประถมและมัธยมฯ เกือบ 2 ล้านคนนี้จะอยู่ในสภาพเกินดุลในอีก 10 ปี ข้างหน้าก็จะยิ่งเห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ ตามการรายงานของ South China Morning Post
เพราะจำนวนการเกิดที่น้อยลงในจีน ทำให้แนวโน้มมีอัตราเด็กเข้าเรียนลดลงขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งมีการรวมโรงเรียนเข้าด้วยกันเพื่อรวมทรัพยากรและลดจำนวนโรงเรียน เพื่อรับมือนักเรียนที่ลดลง
ปีที่แล้วจีนมีอัตราประชากรเกิดใหม่ต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ มีทารกเกิดใหม่ในจีนเพียง 9.56 ล้านคน จำนวนประชากรของจีนลดลงเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน โดยลดลง 2.75 ล้านคน หรือคิดเป็น 0.2% เหลือประชากรเพียง 1,409 ล้านคนในปี 2566
สถานการณ์เริ่มแสดงให้เห็นมานานก่อนหน้าหลายปีแล้วว่าจำนวนเด็กในโรงเรียนอนุบาลลดลงมาเรื่อยๆ ซึ่งก็มีผลไปถึงระดับประถมศึกษาด้วยเช่นกัน
แนวโน้มนี้ทำให้หลายโรงเรียนของรัฐบาลลดขนาดชั้นเรียนเพื่อหลีกเลี่ยงการเลิกจ้างครู ข้อดีทำให้ครูสามารถเพิ่มเวลาที่ใช้กับนักเรียนแต่ละคนได้มากขึ้น
แต่อาจโหดร้ายกว่ามากในโรงเรียนเอกชน ซึ่งมีแรงกดดันทางการเงินมากกว่าและมีชั้นเรียนขนาดเล็กอยู่แล้ว มีความเป็นไปได้อย่างมากที่ครูจะถูกเลิกจ้างเพิ่มขึ้น
แต่เรื่องนี้ก็อาจจะมีข้อดี ‘หวง ปิน’ ศาสตราจารย์จากสถาบันการศึกษามหาวิทยาลัยหนานจิง มองอีกด้านว่า สถานการณ์นี้เป็นจังหวะในการฝึกอบรมทักษะครู และเป็นโอกาสสำหรับจีนที่จะปรับปรุงคุณภาพการศึกษา เพราะในโรงเรียนห่างไกลครูมักได้รับการฝึกอบรมไม่ดีและขาดโอกาสในการพัฒนา รวมทั้งเด็กนักเรียนก็ไม่ต้องถูกกดดันให้แข่งกันเรียน
“ครูจำนวนมากมีระดับทักษะค่อนข้างต่ำ โดยเฉพาะครูโรงเรียนในชนบท” เขากล่าว และมองว่าการส่งเสริมการยกระดับครูในชนบทผ่านการจำกัดเชิงปริมาณโดยเร็วที่สุดเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
นอกจากนี้ จำนวนเด็กที่น้อยลงยังหมายถึงการแข่งขันด้านการศึกษาในโรงเรียนที่น้อยลง ซึ่งอาจช่วยลดความกังวลของผู้ปกครองและความเครียดสำหรับนักเรียน
“ในระยะยาวเมื่อจำนวนเด็กลดลง ก็อาจมีคลื่นของการควบรวมวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยเข้าด้วยกัน และช่องว่างระหว่างสถาบันเหล่านี้ก็อาจจะแคบลง สิ่งนี้อาจช่วยบรรเทาความกังวลอย่างกว้างขวาง เกี่ยวกับการสอบเข้าวิทยาลัย”
ในจีนตอนนี้แม้จะมีการปราบปรามสถาบันกวดวิชาเอกชนอย่างกว้างขวางเพื่อแบ่งเบาภาระของนักเรียนและปรับปรุงความเท่าเทียมกันทางการศึกษา แต่ผู้ปกครองส่วนใหญ่ยังคงเครียดกังวลเกี่ยวกับการศึกษาของบุตรหลาน ท่ามกลางสถานการณ์ที่ประชากรเกิดใหม่ก็น้อยลง
หากจำกันได้เมื่อกลางปี 2564 รัฐบาลจีนประกาศเดินหน้าจัดระเบียบธุรกิจกวดวิชาในประเทศด้วยการออกกฎบังคับให้บริษัทกวดวิชาเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร โดยรัฐบาลสี จิ้นผิง ระบุว่า การออกมาจัดระเบียบเพื่อแก้ปัญหาเหลื่อมล้ำทางการศึกษา เพราะมีความเครียดจากการแข่งขันทางการศึกษาของเยาวชนจีน ที่ต้องแข่งกันสอบเข้ามหาวิทยาลัย ทำให้ต้องเรียนหนักมากเกินไป หลังเลิกเรียนแล้วก็ต่อด้วยการเรียนพิเศษต่อมา
รัฐบาลจีนมองว่าถ้าเข้ามาจัดระเบียบจะช่วยทำให้พ่อแม่รุ่นใหม่ลดความกังวลจากการที่ต้องหาเงินส่งลูกเรียนกวดวิชาแพงๆ เรื่องนี้เป็นหนึ่งในภาระอื่นๆ ที่ทำให้คนรุ่นใหม่ไม่อยากมีลูก เพราะมีค่าใช้จ่ายดูแลสูงมาก
อีกส่วนหนึ่งคือ เพื่อจัดระเบียบการขยายตัวของธุรกิจกวดวิชาที่มีมูลค่าสูงถึง 100,000 ล้านดอลลาร์ โดยควบคุมปริมาณไม่ให้มีจำนวนมากเกินไป เพราะธุรกิจสถาบันกวดวิชาใช้วิธีเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
อย่างไรก็ตามสุดท้ายมีการลักลอบเรียนกวดวิชาใต้ดินอยู่ดีและผู้ปกครองก็บ่นว่าค่าใช้จ่ายไม่ได้ลดลงไป บางคนยังมีค่าเรียนที่แพงกว่าเดิม