คุยกับเจ้าของ ‘สุกี้ตี๋น้อย’ มองว่า แม้ธุรกิจบุฟเฟ่ต์ยังไม่ ‘ล้นตลาด’ แต่ร้านใหม่เพิ่มตลอด ธุรกิจต้องเข้าใจลูกค้าตัวเอง และ ‘แม่นกลยุทธ์’

ธุรกิจร้านอาหารเป็นกลุ่มธุรกิจที่หลายคนพูดว่าเข้าง่ายแต่รอดยาก แต่ละวันจะมีผู้เล่นหน้าใหม่ๆ เข้าสู่ตลาด และรายเก่าที่ปรับตัวไม่ทันพากันล้มหายไปในที่สุด

ความยากยิ่งกว่าของธุรกิจร้านอาหาร หนึ่งในนั้นก็คือ ‘ร้านบุฟเฟ่ต์’ ซึ่งในเวลานี้มีหลายร้านที่ดำเนินกิจการค่อนข้างโดดเด่น กำลังเป็นดาวรุ่งด้วยยอดขายที่แซงหน้าเจ้าใหญ่เดิมๆ ที่เคยอยู่ในตลาดมานาน หนึ่งในนั้นก็คือ ‘สุกี้ตี๋น้อย’

โดยบริษัท เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ได้เผยแพร่ผลการดำเนินงาน ไตรมาส 1/2568 ซึ่งบริษัท บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด หรือ สุกี้ตี๋น้อย เป็นหนึ่งในธุรกิจที่เจมาร์ทได้เข้าไปลงทุน ระบุการเติบโตของธุรกิจสุกี้ตี๋น้อยว่า

“ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 สุกี้ตี๋น้อย มีสาขาทั้งหมด 82 สาขา และ Teenoi BBQ อีก 2 สาขา นอกจากนี้ยังมี Teenoi Express (บุฟเฟต์พรีเมียม) 1 สาขา โดยในในไตรมาส 1/2568 ที่ผ่านมา Suki Teenoi ได้เปิดสาขาเพิ่มขึ้นอีก 4 แห่ง ได้แก่ พิษณุโลก บุรีรัมย์ หนองคาย และนครสวรรค์ ซึ่งเป็นทำเลที่มีศักยภาพสูง นอกจากนี้ สุกี้ตี๋น้อยยังทำงานร่วมกับ JAS Asset เปิด Teenoi BBQ เพิ่มขึ้น 1 สาขาที่ศูนย์การค้าชุมชน Jas Green Village คู้บอน ซึ่งเป็นพื้นที่ของบริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท”

“สำหรับไตรมาส 1/2568 ทุกธุรกิจของตี๋น้อย มีผลกำไรรวมกันอยู่ที่ 271 ล้านบาท โดยเจมาร์ท ได้รับส่วนแบ่งจากการถือหุ้น ร้อยละ 30 เท่ากับ 79 ล้านบาท (หลังหักกำไรปันส่วนราคาซื้อ หรือ Purchase Price Allocation)”

ถ้าเปรียบเทียบกับเจ้าตลาดเดิมที่เคยอยู่มานานอย่าง ‘MK’ ปีนี้มีผลกำไรสุทธิในไตรมาส 1/2568 ลดลงถึง 32.6% มาอยู่ที่ 234 ล้านบาท น้อยกว่าสุกี้ตี๋น้อยเล็กน้อย

ความสำเร็จของสุกี้ตี๋น้อย มีหลายแบรนด์ให้ความสนใจ รวมถึงวิธีคิด มุมมองการวางกลยุทธ์ต่างๆ ในสนามการแข่งขันของธุรกิจร้านอาหารบุฟเฟ่ต์ที่เดือดมากขึ้นแบบขีดสุด TODAY Bizview มีโอกาสได้คุยกับ ‘เฟิร์น – นัทธมน พิศาลกิจวนิช’ และนี่คือสิ่งที่เธอคิดและสร้างแบรนด์มูลค่าพันล้านมาตลอด 6 ปี นับตั้งแต่ปี 2562

[ ธุรกิจร้านอาหารปรับตัวมาเป็น ‘บุฟเฟ่ต์’ มาตลอด ]

เธอเล่าว่า มูลค่าตลาดของสุกี้ ชาบู ของปี 2567 ที่ผ่านมา สูงถึง 23,000 ล้านบาท มากกว่าตลาดปิ้งย่าง (แต่ไม่มีข้อมูลชัดเจน)

ถึงแม้ว่าเราจะเห็นร้านบุฟเฟ่ต์มานานแล้ว แต่สำหรับ เฟิร์น-นัทธมน มองว่า ‘ไม่ใช่อาหารกระแส’ และมองว่าประเภทอาหารแบบนี้น่าจะอยู่ไปอีกนาน เพราะวัฒนธรรมคนไทยกับเรื่องอาหารกลายเป็นกิจวัตร

“คนไทยชอบสังสรรค์ เทียบกับชาติอื่นๆ เช่น ฝั่งตะวันตก การทานข้าวมันคือการอยู่กับครอบครัว ทานที่บ้าน ไม่ได้ออกไปสังสรรค์นอกบ้านขนาดนั้น”

ด้วยความที่คนไทยให้ความสำคัญกับการทานอาหาร ร้านอาหาร จึงเป็นอุตสาหกรรมที่ค่อนข้างใหญ่ อีกทั้งยังมีประเภทร้านอาหารที่หลากหลาย ตั้งแต่ ญี่ปุ่น, เกาหลี, จีน และอาหารตะวันตก

“เมื่อก่อนอาจจะมีแค่ร้านสุกี้ ชาบู ปิ้งย่าง หรืออาหารในโรงแรมที่เป็นบุฟเฟ่ต์ แต่ปัจจุบันร้านบุฟเฟ่ต์มีมากกว่านั้น ทั้งของหวานที่เป็นบุฟเฟ่ต์ หรือ อาหารจานเดียวบุฟเฟ่ต์ ดังนั้น แต่ละวันร้านอาหารที่เป็นบุฟเฟ่ต์จะเกิดขึ้นตลอดเวลา มีร้านใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง”

[ ตลาดบุฟเฟ่ต์ยังไม่อิ่มตัว แต่ต้องฉลาดวางกลยุทธ์ ]

เฟิร์น-นัทธมน เล่าว่า “ลูกค้ายุคนี้ ช่วงหลังโควิด-19 เห็นได้ชัดว่าชอบความคุ้มค่ามากขึ้น ชอบความหลากหลาย รู้สึกสบายใจที่ราคามันนิ่ง คือ ลูกค้าทานได้เลยโดยไม่ต้องคิดมากว่ามื้อนี้จะเท่าไหร่”

แม้ว่าร้านอาหารบุฟเฟ่ต์จะเพิ่มขึ้น แต่สำหรับ เฟิร์น-นัทธมน มองว่า ตลาดยังมีความต้องการ มีดีมานด์อยู่ ยังไม่น่าจะอิ่มตัว เพราะที่ผ่านมาจะมีร้านเก่าปิดตัวลง แต่มีร้านใหม่ๆ เข้ามา ซึ่งก็ทดแทนวนเวียนกันอยู่ในระบบ

“คนยังต้องการที่จะทานร้านอาหารบุฟเฟ่ต์อยู่ ถ้ามองในแง่ดี ดีมานด์-ซัพพลายยังเพิ่มขึ้นมากๆ อยู่ อยู่ที่ว่าร้านจะปรับตัวอย่างไร ร้านมีวิธีการจัดการวัตถุดิบหรือ วางกลยุทธ์อย่างไร”

“ถ้าเราเอาตัวเองแทรกเข้าไปในความต้องการของลูกค้าได้ และเข้าใจว่าลูกค้าตัวเองคือใคร ต้องการอะไร และเราให้อะไรพวกเขาได้ เราก็จะอยู่รอดในสนามแข่งขันได้”

2 สิ่งสำคัญที่ร้านต้องคิด และตี๋น้อยให้น้ำหนักมากๆ ก็คือ วัตถุดิบกับแรงงาน ซึ่งสำคัญมากสำหรับร้านอาหารบุฟเฟ่ต์

“การจัดการวัตถุดิบที่ดีจำเป็นมาก ต่อให้เราซื้อของมาสดแค่ไหน ถ้าจัดการไม่ดี พนักงานในร้านไม่เข้าใจเรื่องนี้ ต้นทุนเราก็จะเพิ่มและของที่ซื้อมาก็จะสูญเปล่า”

“เราต้องทำให้ waste น้อยที่สุด เพราะมันหมายถึง ต้นทุนของเรา”

“จำนวนพนักงานก็สำคัญ คือเราไม่สามารถมีพนักงานมากเกินไปเพราะต้นทุนก็จะสูง น้อยไปก็ไม่ได้ เพราะร้านบุฟเฟ่ต์ของเราทานได้ 2 ชั่วโมง ซึ่งจำเป็นต้องมีจุดที่เทิร์นโต๊ะเร็ว ถ้าเราเสิร์ฟลูกค้าได้ไว ลูกค้าก็จะทานไว การเทิร์นโต๊ะก็อาจจะไวตาม”

อีกเคล็ดลับความสำเร็จของตี๋น้อย ก็คือ สร้าง ‘ว๊าว’ ให้ลูกค้า คือในราคาที่ลูกค้าจ่าย เราสร้างความประทับใจ หรือทำให้ลูกค้ารู้สึกคุ้มค่าแค่ไหน

รวมถึงจะเพิ่มอะไรที่เป็นกระแสเข้ามา เช่น ชานมไข่มุกบราวน์ชูการ์ ในร้านปิ้งย่างตี๋น้อย ลูกค้าก็จะได้ความตื่นเต้น และนึกถึงร้านเวลาที่พวกเขาประทับใจ 

“เฟิร์นจะไม่เอากำไรเป็นที่ตั้ง เพราะถ้าเราคิดแบบนั้นเราจะไม่กล้าทำอะไรเลย อันนั้นก็ไม่อยากเพิ่ม อันนี้ก็เพิ่มไม่ได้ มันจะมีกรอบความคิดที่ทำให้เราออกมาไม่ได้”

“เราจะมองในเชิง ‘ลูกค้า’ มากกว่า เพราะรายได้ การเติบโต มันจะตามมาเอง”

นอกจากนี้ เฟิร์น-นัทธมน ได้แชร์สิ่งที่ร้านต้องคิดให้มาก วิเคราะห์ให้เยอะ ก็คือ จำนวนโต๊ะในร้าน เพราะถ้าโต๊ะไม่เยอะมากพอ ยอดขายต่อรอบก็อาจจะไม่ครอบคลุมค่าเช่าที่ หรือต้นทุนอื่นๆ

‘กำไร’ ของธุรกิจร้านบุฟเฟ่ต์มาจากจำนวนลูกค้า ยิ่งเยอะยิ่งยอดขายเยอะ ค่าใช้จ่ายมันเป็นเปอร์เซ็นต์น้อยลง แล้วเราก็จะมี margin สูงขึ้นด้วย

ส่วนโลเคชั่น คือ กลยุทธ์อย่างหนึ่ง ไม่ใช่แค่พื้นที่ร้าน เพราะโลเคชั่นดี เข้าถึงง่าย ที่จอดรถเยอะ ก็ทำให้ลูกค้าตัดสินใจใช้บริการเราง่ายขึ้น

ปัจจุบัน สุกี้ตี๋น้อย มีทั้งหมด 83 สาขา และ TEENOI BBQ อีก 2 สาขา เธอมองว่า การขยายสาขาทำให้ลูกค้าเข้าถึงเราได้ง่ายขึ้น โดยช่วง 2 ปีที่ผ่านมา สุกี้ตี๋น้อยพยายามขยับไปต่างจังหวัดมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ในการขยายสาขาแต่ละครั้งเป็นการลงทุนเองทั้งหมด และยังไม่มีแพลนจะเปิดขายแฟรนไชน์ในตอนนี้

สรุปทิ้งท้ายข้อคิดที่เจ้าของสุกี้ตี๋น้อยย้ำ เกี่ยวกับการสร้างแบรนด์ให้ประสบความสำเร็จ มี 3 เรื่องที่ไม่ว่าจะเป็นลูกค้ากลุ่มไหนก็ต้องการเหมือนกัน ก็คือ ประสบการณ์, ความหลากหลาย และความคุ้มค่านั่นเอง