สถานการณ์เศรษฐกิจไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านเหมือนคนป่วยที่ยังไม่ได้รับการรักษาที่ถูกจุด เนื่องจากรัฐบาลยังไม่สามารถออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจได้ รวมถึงการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปีที่ล่าช้า และดอกเบี้ยที่สูง เป็นปัจจัยกดดันเศรษฐกิจ
‘ดร.สมประวิณ มันประเสริฐ’ รองผู้จัดการใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงาน EIC ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ประเมินเศรษฐกิจไทยปี 2567 จะทยอยฟื้นตัวแต้ยังฟื้นตัวไม่สูงนักที่ 2.5% โดยมีแรงส่งจากภาคบริการตามการฟื้นตัวได้ดีของนักท่องเที่ยวต่างชาติ จากการออกมาตรการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มเติม
ทั้งมาตรการฟรีวีซ่าและ Visa on Arrival (VOA) รวมถึงการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีน อีกทั้งการท่องเที่ยวในประเทศยังเติบโตดี โดยจังหวัดเมืองรองมีแนวโน้มได้รับความสนใจมากขึ้นจากมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวของภาครัฐ
ขณะที่องค์ประกอบของเศรษฐกิจไทยยังมีแรงกดดัน ได้แก่
(1) การส่งออกสินค้าที่จะขยายตัวจำกัดส่วนหนึ่งเพราะการส่งออกไทยเริ่มฟื้นตัวไม่สอดคล้องกับปริมาณการค้าโลกมากขึ้น โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มเหล็ก ผลไม้ และฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ ที่จะหดตัวในปีนี้
(2) ภาคการผลิตที่จะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปโดยมีแรงกดดันทั้งปัจจัยภายนอกจากสินค้าจีนที่เข้ามาตีตลาด เนื่องจากจีนมีปัญหาผลิตของมากเกินไป (Overcapacity) ในประเทศ รวมถึงปัจจัยภายในจากอุปสงค์ในประเทศที่เริ่มมีสัญญาณแผ่วลง
(3) การลงทุนภาครัฐที่แม้จะกลับมาเร่งตัวจากการเร่งรัดเบิกจ่าย หลัง พ.ร.บ. งบประมาณปี 2567 ล่าช้ากว่าครึ่งปี แต่จะไม่สามารถชดเชยการหดตัวรุนแรงในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ได้
สำหรับในปี 2568 เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวต่อเนื่องที่ 2.9% ส่วนหนึ่งจากการฟื้นตัวของการลงทุนภาคเอกชนและการเบิกจ่ายภาครัฐที่กลับมาเป็นปกติ
ดร.สมประวิณ กล่าวต่อว่า หากมองไปข้างหน้า เศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญความเปราะบางมากขึ้นทั้งในส่วนของภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ ดังนี้
(1) ภาคครัวเรือน : กลุ่มคนรายได้น้อยขาดกันชนทางการเงินที่เพียงพอในระยะข้างหน้า เช่น เงินสำรองฉุกเฉินและประกันความเสี่ยงรูปแบบต่างๆ
(2) ภาคธุรกิจ : แม้โดยรวมมีแนวโน้มฟื้นตัว แต่บางกลุ่มยังเปราะบางค่อนข้างมาก โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กที่มีหนี้สูงมากขึ้น
ท่ามกลางปัญหาโครงสร้างของภาคการผลิตไทย SCB EIC ประเมินว่า แม้จะมีมาตรการการเงินเน้นช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางภาคครัวเรือนและธุรกิจมากขึ้น แต่ยังต้องใช้เวลากว่ามาตรการจะเห็นผลในวงกว้าง
สำหรับมุมมองดอกเบี้ย คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 1 ครั้งปลายปี 2567 เหลือ 2.25% และปรับลดอีกครั้งเหลือ 2% ในช่วงต้นปี 2568
แต่จากแรงส่งอุปสงค์ในประเทศในระยะข้างหน้าที่อาจได้รับผลกระทบเพิ่มเติมจากฐานะครัวเรือนที่ยังเปราะบางและปัญหาเชิงโครงสร้างที่ยังมีอยู่ รวมถึงภาวะการเงินตึงตัวที่จะส่งผลกระทบชัดเจนขึ้น และความเสี่ยงเศรษฐกิจในปีหน้าที่จะปรับเพิ่มขึ้น
สำหรับค่าเงินบาทผันผวนสูงต่อเนื่องจากปัจจัยการเมืองในประเทศ และแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางวสหรัฐ (Fed) ที่ช้าลงแม้ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเริ่มออกมาต่ำกว่าคาดการณ์ตลาด
ในระยะสั้นคาดว่าเงินบาทจะแข็งค่าในกรอบ 35.80-36.80 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยจะทยอยแข็งค่าขึ้น ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย สำหรับ ณ สิ้นปี 2567 มองเงินบาทจะแข็งค่าในกรอบ 35-36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
อย่างไรก็ตาม หากช่วงครึ่งหลังของปีดอกเบี้ยยังไม่ถูกปรับลดลงตามที่คาดการณ์ไว้ ก็มองว่าจะเป็นปัจจัยกดดันเศรษฐกิจต่อในปีหน้า
ทั้งนี้ ในปีนี้และต้นปีหน้ายังคงคาดหวังว่ารัฐบาลจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาที่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้อย่างตรงจุดมากขึ้น