ไปรษณีย์ไทย เอารถ EV ส่งของ จากเติมน้ำมันปีละ 700 ล้าน จะลดค่าน้ำมันได้ถึง 75%

การแข่งขันธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ในประเทศไทยถือว่าดุเดือดมาตลอดหลายปี หลังจากที่ตลาดอีคอมเมิร์ซโต คนอยู่บ้านช้อปปิ้งออนไลน์ ในส่วนของธุรกิจขนส่งก็แข่งขันสูง เพราะอีคอมเมิร์ซเองบางเจ้าก็มาทำขนส่งควบคู่กันไป ธุรกิจขนส่งเพียวๆ ในตลาดก็มีผู้เล่นอยู่ไม่น้อย อยู่ที่ว่าใครจะชิงตลาดได้มากกว่ากัน 

[ ไปรษณีย์ไทยไม่หยุดส่งช่วงเทศกาล เดี๋ยวขาดรายได้ ]

อย่างกรณีของ ‘ไปรษณีย์ไทย’ ก็เอาตัวรอดในตลาดนี้ด้วยการขยายภาพรวมธุรกิจให้มากกว่าแค่ขนส่ง มี 6 กลุ่มธุรกิจหลักที่สามารถสร้างกำไรต่อได้เรื่อยๆ ที่เราเห็นผ่านตาบ้างก็อย่างธุรกิจ ร้าน POST Café

‘ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์’ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เล่าให้ฟังว่า ปัจจุบันไปรษณีย์ไทยยังมีรายได้จากกลุ่มธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์อยู่ ทำให้ 9 เดือนแรก (ม.ค. – ก.ย.) ปี 2567 มีรายได้รวม 15,858.67 ล้านบาท ยิ่งกับบริการไปรษณีย์ด่วนพิเศษ (EMS) ก็เติบโตราว 8.07%  

แต่ต้องยอมรับว่าในฝั่งของธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่มีขนส่งเป็นของตัวเองก็ยังต้องแข่งเดือด ไปรษณีย์ไทยก็กำลังหาพาร์ทเนอร์ในส่วนนี้อยู่ เน้นทำให้ตัวเองเป็นทางเลือกของลูกค้ามากขึ้น เช่น ไม่หยุดส่งในช่วงเทศกาล

สมมติว่าช่วงเทศกาลสงกรานต์ขนส่งเริ่มปิดบริการตั้งแต่ 12 เม.ย. เป็นต้นไป ร้านค้าหรือคนที่จะส่งของก็เริ่มไม่ใช่บริการตั้งแต่วันที่ 10 เม.ย. ทำให้ผลกระทบมันไม่ใช่แค่ช่วงเทศกาล แต่มันเริ่มตั้งแต่ช่วงก่อนเข้าเทศกาล ถ้าในช่วงเวลานั้นเปิดทำการก็จะตอบโจทย์ลูกค้า บริษัทเองก็สร้างรายได้เพิ่มขึ้นแทน

[ พัฒนาระบบขนส่งให้ง่ายขึ้น ด้วยระบบ Prompt POST ]

อีกทั้งยังพัฒนา Prompt POST หรือ ระบบจัดการเอกสารอิเล็กทรอนิกส์แบบครบวงจร ที่มีจุดเด่นทั้ง Digital Postbox ตัวกลางในการรับส่งเอกสารหรือข้อมูลออนไลน์ระหว่างหน่วยงานกับหน่วยงาน และหน่วยงานกับประชาชน ปลอดภัยจากสแปม และจดหมายทุกฉบับสามารถมั่นใจได้ว่ามาจากบุคคลและองค์กรตัวจริง จากการรองรับการยืนยันตัวตนในระบบที่เชื่อถือได้ D/ID ซึ่งเป็น Post ID ส่วนบุคคลที่จะมีการเริ่มใช้จริงต้นปี 2568 ด้วยระบบ QR CODE ที่จะเป็นทางเลือกการจ่าหน้า ช่วยป้องกันข้อมูลส่วนบุคคลระหว่างการจัดส่งสิ่งของได้

รวมถึงอำนวยความสะดวกมากขึ้นผ่านการให้บริการ Postman as a Service เช่น การเก็บข้อมูล รับส่งสิ่งของแบบ Point to Point และ Matching เชื่อมโยง Demand กับ Supply พัฒนาแพลตฟอร์ม e-marketplace โครงการ Virtual bank ให้บริการสินเชื่อกับประชาชน สามารถทำธุรกรรมฝากถอนเงินได้ที่สาขาของไปรษณีย์ทั่วประเทศ

ออกแบบบริการเฉพาะกลุ่ม เช่น บริการไปรษณีย์ตอบรับในประเทศทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-AR) บริการ Pick up Service สำหรับกลุ่ม e-marketplace ขยายจุด Drop Off ผ่านเครือข่ายพันธมิตร 

[ เปลี่ยนมาใช้รถ EV ส่งของประหยัดได้ 75% ]

บริษัทกำลังเผชิญหน้ากับเรื่องต้นทุนภายใน ไม่ว่าจะเป็นค่าแรงขั้นต่ำ ต้นทุนการขนส่งอื่นๆ ที่กำลังเพิ่มขึ้นมา ทำให้ภายในจะต้องควบคุมต้นทุนให้ดี เริ่มจากการเปลี่ยนรถส่งของที่เดิมทีเติมน้ำมันปีละ 700 ล้านบาท ตอนนี้เปลี่ยนมาใช้รถ EV ขนส่งมีอยู่ราวๆ 250 คัน ติดแผงโซลาร์เซลล์ที่สำนักงานไปรษณีย์เอากำลังไฟมาชาร์จรถสามารถประหยัดค่าน้ำมันไปได้ 75% 

ในอนาคตอาจจะต่อยอดธุรกิจด้วยการเปิดสถานีชาร์จสำหรับรถบรรทุก EV โดยเฉพาะขึ้นมา เพราะเห็นว่าในสถานีชาร์จรถ EV ส่วนใหญ่ยังคละกับรถทุกประเภท ทำให้บางครั้งรถบรรทุก EV ก็ต้องรอชาร์จต่อจากรถส่วนบุคคล แต่ถ้าไปรษณีย์ไทยทำก็จะทำให้รถบรรทุกสามารถกำหนดเวลาได้มากขึ้น และสามารถหาสถานีชาร์จได้ง่ายขึ้นผ่านสาขาไปรษณีย์ไทยที่มีมากกว่า 1,600 สาขา 

[ POST Café รายได้เดือนละ 4 แสน ปีหน้าเปิดอีก 2-3 สาขา ]

นอกจากนี้ ไปรษณีย์ยังต่อยอดธุรกิจให้มากกว่าการขนส่ง ด้วยการขยายสินค้าเฮาส์แบรนด์ อาทิ ข้าวสาร น้ำดื่ม กาแฟ ให้ดูเข้าถึงมากขึ้น โดยที่ผ่านมามีรายได้ราวๆ 20-40 ล้านบาท

ส่วนธุรกิจร้าน POST Café ที่ใช้เมล็ดกาแฟท้องถิ่น กระจายรายได้สู่ชุมชน ซึ่งกระแสตอบรับดี มีรายได้ราวๆ เดือนละ 400,000 บาท คาดการณ์ในปีหน้าจะเปิดเพิ่มอีก 2-3 สาขา และจะสร้างให้เป็นพื้นที่ Cups of Connection แหล่งรวมคนที่อยากจะมาพบปะกัน หรือทำกิจกรรมร่วมกันได้ที่นี่

สำหรับภาพรวมรายได้ทั้งหมดระหว่างเดือน ม.ค. – ก.ย.  2567 ไปรษณีย์ไทยมีสัดส่วนรายได้จากกลุ่มงานต่าง ๆ ได้แก่ กลุ่มบริการขนส่งและโลจิสติกส์ 46.48%, กลุ่มบริการไปรษณียภัณฑ์ 34.54%, กลุ่มบริการระหว่างประเทศ 12.14%, กลุ่มบริการค้าปลีกและการเงิน 4.48%, กลุ่มธุรกิจอื่น ๆ 0.85% และรายได้อื่น ๆ 1.15%