SHARE

คัดลอกแล้ว

รายงาน The Credit Suisse Global Wealth Report 2018 ระบุ คนไทย 1 % ถือครองความมั่นคั่ง หรือมีทรัพย์สินรวม 66.9% ของทรัพย์สินรวมทั้งประเทศ มีความเหลื่อมล้ำสูงเป็นอันดับ 1 ของโลก หลังจากเคยได้อันดับ 3 เมื่อ 2 ปีก่อน

วันที่ 5 ธ.ค. 61 นายบรรยง พงษ์พานิช อดีตคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงรายงาน The Credit Suisse Global Wealth Report 2018 ที่ระบุว่า คนไทย 1 % ถือครองความมั่นคั่ง หรือมีทรัพย์สินรวมถึง 66.9% ของทรัพย์สินรวมทั้งประเทศ

เท่ากับว่า คนไทยถึง 99 % ถือครองทรัพย์สินเพียง 33.1 ของทรัพย์สินรวมทั้งประเทศ ซึ่งเป็นตัวเลขที่สะท้อนให้เห็นว่า ไทยเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจสูงมาก และสูงเป็นอันดับ 1 ของโลก

ส่วนประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจสูงเป็นอันดับ 2 คือ รัสเซีย โดยประชากร 1 % มีทรัพย์สินรวม 57.1% ของทรัพย์สินรวมทั้งประเทศ

อับดับ 3 ได้แก่ ตุรกี ที่ประชากร 1 % มีทรัพย์สินรวม 54.1 % ของทรัพย์สินรวมทั้งประเทศ และอันดับ 4 ได้แก่ อินเดีย ที่ประชากร 1 % มีทรัพย์สินรวม 51.5 % ของทรัพย์สินรวมทั้งประเทศ

และมีเพียง 4 ประเทศข้างต้นเท่านั้น ที่ประชากร 1 % มีทรัพย์สินรวมเกินกว่า 50 % ของทรัพย์สินรวมทั้งประเทศ !

ส่วนประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจต่ำที่สุด คือ เบลเยี่ยม ที่ประชากร 1 % มีทรัพย์สินรวม 20.1 % ของทรัพย์สินรวมทั้งประเทศ

เมื่อปี 2 ปีที่แล้ว (พ.ศ.2559) รายงาน The Credit Suisse Global Wealth Report 2016 ได้ระบุว่า ไทยมีความล้ำเหลื่อมสูงเป็นอันดับที่ 3 ของโลก โดยคนไทย 1 % ถือครองทรัพย์สินรวม 58.0 % ของทรัพย์สินรวมทั้งประเทศ

เเละเมื่อนำรายงานในปี 2016 (พ.ศ.2559) และ ปี 2018 (พ.ศ.2561) มาเปรียบเทียบกัน ก็จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า คนไทยส่วนใหญ่ไม่ได้มีความมั่งคั่งขึ้น แต่คนที่รวยอยู่แล้วต่างหาก ที่รวยยิ่งขึ้นไปอีก ในระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา

โดยข้อความของ นายบรรยง พงษ์พานิช มีเนื้อหาทั้งหมด ดังนี้

“…ประเทศไทย กลายเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำสูงที่สุดในโลกไปแล้ว ตามข้อมูลของ CS Global Wealth Report 2018 ที่ออกมาเมื่อเดือนตุลา มีข้อมูลที่น่าเป็นห่วงมากว่า ถ้านับในด้านความมั่งคั่ง (Wealth) แล้ว ไทยแลนด์แดนสารขัณฑ์ที่ได้อันดับสามในการสำรวจเมื่อสองปีที่แล้ว สามารถแซงทั้งรัสเซีย ทั้งอินเดีย ฉลุยขึ้นป้ายอันดับหนึ่งได้อย่างค่อนข้างห่างด้วยซ้ำ

“เมื่อสองปีที่แล้ว (2016) คนไทย (adult) 1 % แรก (5 แสนคน) มีทรัพย์สินรวม 58.0 % ของทรัพย์สินรวมทั้งประเทศ มาปีนี้ (2018) 1 % มีเพิ่มเป็น 66.9 % รวยขึ้นอื้อเลยครับ แซงรัสเซียที่ลดจาก 78 % เหลือแค่ 57.1 % ตกไปเป็นที่สอง ขณะที่ตุรกีมาแรง ทั้งๆ ที่เศรษฐกิจห่วยแตก แต่คนรวยกลับเพิ่มสัดส่วนขึ้นได้เป็น 54.1 % แซงอินเดียที่ตกไปเป็นที่สี่ จาก 58.4% เหลือแค่เพียง 51.5 % แล้วนอกจากสี่ประเทศนี้ ก็ไม่มีประเทศไหนในโลกอีกแล้วที่คนรวย 1% มีเกินครึ่ง โดยประเทศที่ดีที่สุดคือ เบลเยี่ยม ที่ 1% มีแค่ 20.1% ตามด้วยออสเตรเลีย 22.4% (ดูตาราง 40 ประเทศด้านล่าง)

“ที่รัสเซีย อินเดีย เศรษฐีจนลงก็พอเข้าใจได้ เพราะภาวะเศรษฐกิจและอัตราแลกเปลี่ยนที่ย่ำแย่เป็นตัวฉุด แต่ตุรกีนี่ก็มีวิกฤตไม่เบา สงสัยคุณเออร์โดกัน แกออกนโยบายปกป้องพรรคพวกไว้ได้ดี เลยส่งผ่านผลวิกฤตกระจายให้คนจนได้มากกว่า อย่างพี่ไทย ที่ตีปี๊ปว่าเศรษฐกิจฟื้นแล้ว กำลังเข้าสู่ยุคโชติช่วงใหม่ เห็นตัวเลขนี้ก็คงพอเข้าใจได้ว่าทำไมรากหญ้ายังบ่นอู้ และที่เขาว่าแข็งบน-อ่อนล่าง มันเป็นยังไง

“พอไปดูรายละเอียดของตาราง (table 6.5) ยิ่งอยากเอาตีนก่ายหน้าผากเข้าไปใหญ่ เพราะคนไทยที่จนสุด 10 % มีทรัพย์สิน 0 % (จริงๆ ถ้ารวมหนี้น่าจะติดลบนะครับ) ขณะที่ถ้านับ 50 % (25 ล้านผู้ใหญ่) ก็ยังมีแค่ 1.7 % และถ้าเอา 70% (35 ล้าน) ก็เพิ่มไปเป็นแค่ 5% ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจหรอกครับเพราะว่าไอ้ 1 % แรก (ห้าแสนคน) มันเอาไปหมด แต่ที่น่ากังวลก็คือมันสะท้อนว่า คนครึ่งประเทศเป็นพวก “หาเช้ากินค่ำ” หรือไม่ก็ “เดือนชนเดือน” ไม่มีเหลือเก็บเหลือออม แล้วแถมกำลังจะแก่ก่อนมีเงินออมซะอีกด้วย

“ถ้าไปดูตัวเลขค่าสัมประสิทธิ์ GINI ด้านความมั่งคั่ง (มาตรวัดการกระจาย ที่ค่าสูงสุด 100 หมายถึงคนเดียวเอาไปหมด ถ้า 0 แปลว่าทุกคนเท่ากันหมด) ตาม table 6.6 ก็ยืนยันว่า ประเทศไทยนั้นเหลื่อมล้ำมากที่สุดในโลก เพราะ GINI เราสูงถึง 90.2 ซึ่งผมว่าน่าจะเป็นสถิติโลกที่คงหาคนทำลายได้ยาก

“เห็นตัวเลข หลายคนคงจะยังสงสัยว่า วิธีการเก็บข้อมูล วิธีการสำรวจ วิธีการประเมินของ Credit Suisse น่าเชื่อถือและถูกต้องแค่ไหน หรือหลายคนอาจจะปลอบใจว่า นี่มันวัดละเอียดกันแค่ 40 ประเทศ ไอ้ประเทศจนๆ ในซับซาฮาร่า หรือพวกประเทศสมบูรณาญาสิทธิราชย์ โดยเฉพาะที่พวกชีคเป็นเจ้าของทุกอย่าง มันน่าจะแย่กว่าเรานะ อย่างรายงานบอกว่า ความมั่งคั่งรวมของคนไทยมีแค่ $ 505 billion (505 พันล้านเหรียญสหรัฐ) หรือ 16.5 ล้านล้านบาท ผมก็คิดว่ายังตกหล่นไปเยอะ เพราะเฉพาะทรัพย์สินทางการเงินรวมในตลาดก็มีขนาด 40 ล้านล้านบาทแล้ว ไม่รวมอสังหาและทรัพย์สินอื่นๆ ก็หวังว่าที่ตกหล่นน่ะส่วนใหญ่เป็นของคนจนนะครับ (กลัวจะตรงกันข้ามซะละมากกว่า)

“อย่างไรก็ตาม รายงานนี้ยืนยันว่า ปัญหาความเหลื่อมล้ำเป็นปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย เราอาจจะมีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ทางการเงิน ทางการเมืองได้ดี แต่ถ้าไม่แก้เรื่องนี้ให้ได้ก็สุ่มเสี่ยงมากครับว่า เสถียรภาพทางสังคมจะมีปัญหา

“ที่ยากที่จะกระจาย ก็เพราะว่ามันกระจุกแบบสุดๆ นี่แหละครับ ใครคิดว่า “รัฐสวัสดิการ” จะช่วยได้ ก็ต้องระวังแหล่งที่มาของเงินที่จะเอามากระจายด้วยนะครับ เพราะคนส่วนใหญ่ (80%) เขาก็หาได้แทบไม่พออยู่แล้ว ครั้งจะเอาจากพวก 1% ก็ต้องฝ่ากระบวนการล็อบบี้อันทรงอิทธิพลของเหล่าเจ้าสัวให้ได้ และต้องระวังเขาหอบทรัพย์หนีออกนอกประเทศกันหมดด้วย บางคนบอกว่าเอาจากงบทหารแล้วกัน ทำอย่างนั้นก็เหมือนอยู่บ้านไม้เก่าๆ โทรมๆ แล้วยังไม่ยอมจ่ายเงินซื้อประกันไฟอีก มันเสี่ยงนาครับ

“ถามผมว่าอะไรคือคำตอบ ผมก็ขอนำเสนอว่า ให้ใช้หลักการทุนนิยมเสรีใหม่+รัฐสวัสดิการ (Neoliberalism+Welfare) นี่แหละครับ สร้างทั้งความเติบโต พร้อมกับการกระจายไปด้วยกัน สังคมนิยม (Socialism) พิสูจน์แล้วว่าไม่เวิร์ค Keynesian กับเศรษศาสตร์พัฒนาการที่นำโดยรัฐ ก็พาเรามาได้แค่นี้ แล้วก็ติดกับมาเป็นสิบปีอย่างที่เห็นน่ะครับ ถ้าดันทุรังกันแบบเดิมๆ แผนยุทธศาสตร์จะกลายเป็นแผนฉุดกระชากชาติไป

“รายละเอียดเป็นอย่างไร ต้องสารภาพว่าผมก็ไม่รู้หมดหรอกครับ แถมการขับเคลื่อนก็ยากเย็น (ก็ไอ้พวก 1 % มันไม่ยอมง่ายๆ นี่ครับ) ผมเองก็พิสูจน์แล้วว่าทำไม่เป็น ทำไม่สำเร็จ ไม่งั้นป่านนี้ไปลงสมัครรับเลือกตั้งแล้วครับ”

https://www.facebook.com/banyong.pongpanich/posts/1001185230084776

ข้อมูลเเละภาพ จาก เฟซบุ๊ก Banyong Pongpanich , The Credit Suisse Global Wealth Report 2018

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า