แบงก์ชาติกำลังจับตาดูเงินเฟ้อของไทยอย่างใกล้ชิด โดยเป็นห่วงว่าในไตรมาส 2 และ 3 ของปีนี้ เงินเฟ้อมีความเสี่ยงจะปรับขึ้นทะลุ 5% จากผลกระทบการปล่อยลอยตัวน้ำมันดีเซล และการขึ้นราคาสินค้า
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดการณ์ว่าเงินเฟ้อในช่วงไตรมาส 2 และ 3 ของปี 2565 มีความเสี่ยงจะปรับตัวขึ้นสูงกว่าระดับ 5% จากผลกระทบการปล่อยลอยตัวน้ำมันดีเซล และการขึ้นราคาสินค้าประเภทต่างๆ แต่ยังเชื่อว่าไตรมาส 4 ปี 2565 ภาวะเงินเฟ้อของไทยจะปรับตัวลงได้
จากข้อมูลล่าสุดในเดือน มี.ค. อัตราเงินเฟ้อทั่วไป หรือ Headline Inflation ของไทย เร่งตัวขึ้นมาอยู่ที่ 5.73% ตามราคาพลังงานและราคาอาหารสำเร็จรูป ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน หรือ Core Inflation ยังอยู่ที่ระดับ 2%
นอกจากราคาพลังงานและราคาสินค้าที่ปรับเพิ่มขึ้นแล้ว ค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลงต่อเนื่อง ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยเสี่ยงต่อเงินเฟ้อ เพราะการอ่อนค่าของเงินบาทในครั้งนี้ อาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนของระบบเศรษฐกิจ กระทบต้นทุนการนำเข้า และอาจส่งผ่านมายังเงินเฟ้อ
โดยตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน ค่าเงินบาทอ่อนค่าไปแล้วกว่า 2.5% แต่ ธปท.ยืนยันว่า การอ่อนค่าของเงินบาทยังอยู่ในระดับกลางเมื่อเทียบกับประเทศอื่นที่เผชิญกับการอ่อนค่าของค่าเงินเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม แนะนำภาคเอชนการให้ใช้ความระมัดระวังในการดูแลอัตราแลกเปลี่ยน รวมถึงแนะนำผู้ประกอบการให้ป้องกันความเสี่ยงจากค่าเงิน (FX Hedging) ซึ่งต้องให้ความสำคัญมากขึ้น
สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยเดือน เม.ย. ธปท.คาดว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจจะเริ่มกลับมาดีขึ้น แม้กิจกรรมการทำงานจะปรับตัวลงตามจำนวนวันหยุด แต่การเดินทางและการขนส่งผ่านช่องทางต่างๆ เริ่มฟื้นตัวดีขึ้นจากเดือน มี.ค.
ในส่วนของภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาส 1 ปี 2565 ภาพรวมปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาส 4 ปี 2564 เพราะได้อานิสงส์การส่งออกสินค้าที่ยังปรับขึ้นต่อเนื่อง จากความต้องการใช้ (อุปสงค์) ในประเทศคู่ค้าที่ปรับดีขึ้น
นอกจากนี้ ยังได้อานิสงส์จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากมาตรการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศที่ลดลง อีกทั้งยังมีปัจจัยหนุนจากการบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้น
แม้ช่วงท้ายของไตรมาส เศรษฐกิจจะชะลอลงบ้างจากผลกระทบของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน รวมถึงต้นทุนการผลิตและค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นก็ตาม