‘เศรษฐา’ ให้สัมภาษณ์บลูมเบิร์กขณะเยือนสหรัฐฯ ย้ำต้องการให้โลกรู้ว่าไทยเปิดประเทศให้ภาคธุรกิจเข้ามาลงทุนแล้ว ยอมรับไทยตามหลังเวียดนามในบางเรื่อง กลัวถูกบังคับเลือกข้างสหรัฐฯ-จีน ชี้เป็นเรื่องโง่ถ้าไม่ปรึกษา ‘ทักษิณ’ หากเขาพ้นโทษแล้ว
นายกรัฐมนตรีระบุกับบลูมเบิร์กว่า เขาตั้งเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยอยู่ที่เฉลี่ย 5% ตลอดวาระการดำรงตำแหน่งของเขา และเชื่อว่าในปีที่ 3 ของรัฐบาล อาจได้เห็นการเติบโตทางเศรษฐกิจแตะ 6-7% โดยชี้ว่าส่วนหนึ่งน่าจะต้องกระตุ้นผ่านภาคการผลิต และการลงทุนจากบริษัทสัญชาติอเมริกัน เช่น เทสลา ซึ่งนายเศรษฐามีกำหนดการเยี่ยมชมโรงงานด้วย
นายกรัฐมนตรีซึ่งดำรงตำแหน่งควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังยอมรับว่า ประเทศไทยอยู่ในสถานะที่ปิดมาช่วงเวลาหนึ่ง และการเดินทางมาร่วมประชุมในครั้งนี้ ก็อยากที่มั่นใจว่าโลกได้รับทราบแล้วว่า ประเทศไทยได้เปิดให้กับการทำธุรกิจแล้ว
อย่างไรก็ตาม นายเศรษฐายอมรับว่า ประเทศไทยในตอนนี้ตามหลังเวียดนาม เมื่อพูดถึงข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) และมองว่ารัฐบาลที่ผ่านมา ซึ่งบางส่วนดำรงตำแหน่งในรัฐบาลชุดปัจจุบัน ควรที่จะเดินทางไปต่างประเทศ เพื่อพูดคุยกับพันธมิตรที่มีศักยภาพ และดึงดูดการลงทุนเข้าประเทศไทย
Thailand's new leader Srettha Thavisin says he's "saddened" by US-China conflicts and that one of his "greatest fears" is being forced to choose sides https://t.co/CvFcpw3llJ pic.twitter.com/pEH22YA4Gi
— Bloomberg (@business) September 21, 2023
นายกรัฐมนตรีระบุว่า เรายังไม่ได้บอกเล่าเรื่องราวของเศรษฐกิจไทย พร้อมขอเวลาในการทำงาน 6 เดือน ซึ่งนายกรัฐมนตรีหวังว่าจะมีส่วนช่วยให้บรรดานักลงทุนเปลี่ยนใจได้
นายเศรษฐาระบุกับบลูมเบิร์ก โดยชี้ว่าเขา 2 เครื่องมือสำคัญในการผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจ คือการลงทุนจากต่างประเทศ รวมถึงการใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐ พร้อมย้ำว่า เขาต้องการให้เศรษฐกิจไทยดีขึ้น เพื่อเป็นการยืนยันว่า คนไทยจะมีเงินในกระเป๋า
โดยหลังจากการเข้าร่วมการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติที่นครนิวยอร์กของสหรัฐฯ ในครั้งนี้แล้ว นายกรัฐมนตรีจะมีกำหนดการเดินทางไปยังสหรัฐฯ อีกครั้ง เพื่อเข้าร่วมการประชุมเอเปก ที่ในปีนี้สหรัฐอเมริกาเป็นเจ้าภาพในเดือน พ.ย. นี้
นายเศรษฐาระบุว่า แม้รัฐบาลไทยจะไม่ได้เดินทางเยือนสหรัฐฯ บ่อยเท่าที่ควร แต่ในช่วงหลายเดือนต่อจากนี้จะเป็นโอกาสที่ดีต่อการสานสัมพันธ์กับรัฐบาลสหรัฐฯ
ผู้สื่อข่าวบลูมเบิร์กยังถามต่อถึงประเด็นการสร้างสมดุลในความสัมพันธ์ โดยเฉพาะระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ที่กำลังแข่งขันอิทธิพลกันในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งนายเศรษฐายอมรับว่า นี่คือหนึ่งในประเด็นที่กลัวที่สุดของเขา คือการที่ประเทศเล็กถูกบีบบังคับให้ต้องเลือกข้างใดข้างหนึ่ง
นายเศรษฐาระบุว่า ประเทศจีนถือเป็นนักลงทุนรายใหญ่ของไทย และมีปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์และประวัติศาสตร์พ่วงด้วย เช่นเดียวกับสหรัฐฯ ที่ถือว่าเป็นพันธมิตรทางการค้าที่เก่าแก่ที่สุดของไทย
นายกรัฐมนตรีระบุว่า เขาหวังให้สหรัฐฯ และจีนได้รับประโยชน์จากการเปิดประเทศไทยเพื่อรองรับภาคธุรกิจจากทั้งสองประเทศ
นายเศรษฐายังถูกตั้งคำถามถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร ที่เดินทางกลับประเทศไทยเพื่อรับโทษ และขณะนี้กำลังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล โดยนายเศรษฐากล่าวถึงนายทักษิณว่า เขาเชื่อว่านายทักษิณมีคุณประโยชน์ที่จะช่วยรัฐบาลและประชาชนไทย และถือว่านายทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย และยังคงเป็นอยู่จนถึงปัจจุบัน
นายเศรษฐาเปิดเผยว่า ถ้านายทักษิณพ้นโทษแล้ว มันคงเป็นเรื่องที่ไม่ฉลาดเลยถ้าจะไม่ขอความเห็นจากนายทักษิณ รวมถึงนายกรัฐมนตรีคนอื่นๆ ด้วย