SHARE

คัดลอกแล้ว

หากมองย้อนกลับไปในอดีตแล้วลองนึกถึงครั้งสุดท้ายที่เราได้ยินสื่อต่างๆ พาดหัวเศรษฐกิจไทยว่า “เติบโตสูง” “ขยายตัวแข็งแกร่ง” “ฟื้นตัวเร็ว” คือเมื่อไหร่?

หลายคนอาจนึกไม่ออก หรือคงต้องย้อนกลับไปไกลสมัยก่อนเกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง ซึ่งขณะนั้นไทยยังได้รับการขนานนามว่าเป็นเสือตัวที่ 5 ของเอเชีย ยิ่งมาในช่วงหลังวิกฤตโควิด ดูเหมือนไม่ใช่แค่เราจะไม่ได้ยินคำที่สะท้อนเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวกลับมาได้ดี แต่ตรงกันข้าม กลับกลายเป็นเศรษฐกิจไทยเจอคำว่า “ฟื้นตัวช้า” “ปัญหาเชิงโครงสร้าง” “หนี้ครัวเรือนสูง” ที่กลายมาเป็นคำคุ้นหูเราไปแทน

ปี 2025 นี้ก็เช่นกันคงจะเป็นอีกปีสำหรับเศรษฐกิจไทย ท่ามกลางกระแสความท้าทายรอบด้าน เมื่อต้องเผชิญแรงกดดันจากความไม่แน่นอนของนโยบายระหว่างประเทศที่จะเร่งปัญหาภูมิรัฐศาสตร์และการปกป้องทางการค้า ตลอดจนปัญหาเชิงโครงสร้างและความเปราะบางภายในของไทยเองที่กดดันการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ จนอาจนิยาม ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปีงูเล็กผ่าน 3 ย.

[ โลกที่ “ยุ่ง”]

ปฏิเสธไม่ได้ว่าในปี 2025 ทุกสายตาต่างจับจ้องมาที่การเข้ามารับตำแหน่งของประธานาธิบดีทรัมป์สมัยที่ 2 หลังเข้ารับตำแหน่งเพียงไม่นาน แต่ได้มีการออกคำสั่งบริหารภายใต้อำนาจประธานาธิบดีจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นนโยบายเน้นยกเลิกคำสั่งของประธานาธิบดีไบเดน การปฏิรูปรัฐบาลกลาง จัดการผู้อพยพ สนับสนุนพลังงานฟอสซิล โดยเฉพาะการเริ่มขึ้นภาษีสินค้านำเข้ากับบางประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ สูงและภาษีสินค้านำเข้าบางชนิด เช่น เหล็กและอะลูมิเนียม จากคู่ค้าทั่วโลก สร้างแรงกระเพื่อมทางเศรษฐกิจกับสหรัฐฯ ที่เงินเฟ้ออาจเร่งตัว จนทำให้ Fed อาจลดดอกเบี้ยลงอีกน้อยกว่าที่คาด รวมถึงกับเศรษฐกิจโลก ผ่านช่องทางการค้า การลงทุน และห่วงโซ่อุปทานโลก (Supply chain) ที่จะผันผวนมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

มองไปข้างหน้า ความไม่แน่นอนของการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ยังมีอยู่มาก ทั้งในมิติความรุนแรงของภาษีที่จะถูกนำมาใช้ รวมถึงมาตรการตอบโต้ของประเทศอื่น ย่อมเป็นความเสี่ยงสำคัญกดดันเศรษฐกิจโลกให้ขยายตัวชะลอลง และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยที่พึ่งพาอุปสงค์จากต่างประเทศสูง ซึ่งแม้ในปัจจุบันประเทศไทยยังไม่ถูกสหรัฐฯ ใช้มาตรการขึ้นกำแพงภาษีนำเข้าโดยตรงกับทุกกลุ่มสินค้าและอาจไม่ใช่เป้าหมายต้นๆ

เนื่องจากไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ เป็นอันดับที่ 11 (ข้อมูลปี 2024) แต่ก็นับเป็นประเทศในกลุ่มที่มีความเสี่ยงได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีนำเข้ามากโดยเฉพาะภาคการส่งออก เนื่องจากไทยพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ มากเป็นอันดับ 1 สัดส่วนการส่งออกสูงถึง 18.3% ของ มูลค่าการส่งออกสินค้าทั้งหมด (ข้อมูลปี 2024) เพิ่มจากราว 11% ในปี 2017

[ การส่งออกและการผลิตอุตสาหกรรมที่ “ยาก” ]

ภายใต้บริบทโลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจากมาตรการภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ ที่จะออกมาเพิ่มเติม นอกจากเศรษฐกิจไทยจะมีข้อจำกัดเป็นทุนเดิม เช่น การสูญเสียความสามารถการแข่งขันส่งออกในเวทีโลก และภาคการผลิตที่ฟื้นตัวได้ช้า ยิ่งได้รับผลกระทบเชิงลบจากความ “ยุ่ง” ที่เกิดขึ้นจากภายนอก

โดยเฉพาะจากเศรษฐกิจจีนที่มีแนวโน้มได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ มาก และมาตรการได้เริ่มมีผลแล้วตั้งแต่ต้นเดือน ก.พ. ผ่านการแข่งขันกับสินค้าจีนที่จะรุนแรงขึ้น (China Flooding) ทั้งตลาดต่างประเทศและในประเทศ เนื่องจากสินค้าจีนถูกกีดกันจากตลาดสหรัฐฯ มากขึ้น ขณะที่อุปสงค์ในประเทศจีนเองยังซบเซา ส่งผลให้สินค้าจีนถูกกระจายไปขายตลาดอื่นทดแทน รวมถึงไทย อาจเห็นการนำเข้าสินค้าจีนสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยปัจจุบันไทยนำเข้าจากจีนเป็นตลาดอันดับหนึ่ง สัดส่วนราว 1 ใน 4 ของมูลค่านำเข้ารวมของไทย

สินค้าจีนจะนำเข้ามากขึ้นกดดันความสามารถการแข่งขันของสินค้าไทยทั้งตลาดในและนอกประเทศ ส่งผลให้การส่งออกไทยเติบโตได้ลดลง และซ้ำเติมภาคการผลิตอุตสาหกรรมที่ยังไม่ฟื้น นอกจากการนำเข้าสินค้าสำเร็จรูปที่เพิ่มขึ้น สินค้าขั้นกลางที่ไทยส่งออกไปจีนเพื่อผลิตเป็นสินค้าขั้นสุดท้ายเพื่อส่งออกอาจชะลอตัว

โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าที่จีนส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ อาทิ กลุ่มคอมพิวเตอร์และชิ้นส่วน IC และไม้ยางพารา อีกทั้ง ในกรณีที่บริษัทจีนย้ายฐานการผลิตมาไทยเพื่อเลี่ยงกำแพงภาษีของสหรัฐฯ สหรัฐฯ อาจดำเนินมาตรการกีดกันการค้าต่าง ๆ ต่อสินค้าส่งออกไทย เช่น ตรวจสอบแหล่งที่มาของสินค้า เพิ่มสัดส่วนการใช้ชิ้นส่วนหรือวัตถุดิบจากผู้ผลิตในประเทศ พิจารณาถึงสัญชาติของบริษัท เช่น การเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดจากการนำเข้าแผงโซลาร์จาก 4 ประเทศใน ASEAN ที่ผลิตโดยบริษัทจีน เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้สะท้อนภาพการแข่งขันของภาคธุรกิจอุตสาหกรรมไทยที่จะ “ยาก” ขึ้นมากในปีนี้

[ เศรษฐกิจในประเทศที่ยัง “แย่” ]

นอกจากปัญหาภายนอกประเทศท้าทายเพิ่มขึ้น เศรษฐกิจไทยเองยังมีความเปราะบางในหลายมิติ โดยเฉพาะแผลเป็นทางเศรษฐกิจที่วิกฤตโควิด ทิ้งไว้ ยิ่งกดดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้ามาจาก

– รายได้ครัวเรือนที่ฟื้นช้า ส่งผลให้หนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นเร็วหลังโควิด จนสูงเกือบ 90% ต่อ GDP ในไตรมาส 3 ปี 2024 (เทียบ 84% ณ ปี 2019) ทำให้ครัวเรือนไทยเกือบ 60% ยังประสบปัญหารายได้ไม่พอรายจ่าย (SCB EIC จากข้อมูลสำรวจครัวเรือนไทย ปี 2023 โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ)

– ความเปราะบางภาคธุรกิจ เห็นได้จากสัดส่วนจำนวนบริษัทผีดิบ (Zombie firm) ในไทยที่ยังสูง โดยในปี 2023 อยู่ที่ราว 6% ส่วนใหญ่กระจุกตัวในบริษัทขนาดกลางและเล็ก สัดส่วนยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยก่อนโควิดช่วงปี 2015-2019 ที่ 5.6%

– ข้อจำกัดการคลังที่เพิ่มขึ้นมากและ Fiscal space ที่ลดลงไปเยอะหลังภาครัฐกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่ในช่วงโควิด โดยแผนการคลังระยะปานกลางล่าสุดเมื่อเดือนธันวาคม 2024 สะท้อนแนวโน้มหนี้สาธารณะที่ปรับสูงขึ้น และอาจแตะเพดานหนี้ 70% ภายใน 5 ปี (ปี 2029)

อีกหนึ่งปัจจัยที่จะเป็นแรงกดดันเพิ่มเติมสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยในปี 2025 และสะท้อนความ “แย่” ในประเทศที่ยังคงอยู่ คือการบริโภคภาคเอกชนที่จะชะลอลงจากขยายตัวดีในช่วง 2-3 ปีก่อน สาเหตุสำคัญมาจากมาตรฐานการให้สินเชื่อรายย่อยของสถาบันการเงินเข้มงวดขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้สินเชื่อรายย่อยชะลอลงมาก แม้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ของไทยเริ่มลดลง

แต่สาเหตุหลักมาจากการเข้าถึงสินเชื่อใหม่ยากขึ้น โดยอัตราการขยายตัวของเงินให้กู้ยืมภาคครัวเรือนขยายตัวต่ำลงมาก และเริ่มต่ำกว่าอัตราการขยายตัวของ GDP ใน Q3/2024 หลังจากที่สินเชื่อครัวเรือนเติบโตสูงกว่า GDP มานานนับทศวรรษ สะท้อนครัวเรือนไทยยืมเงินในอนาคตมาบริโภคล่วงหน้าเกินกำลังความสามารถหารายได้มาเป็นเวลานาน และเข้าสู่ช่วงทยอยลดหนี้ (Deleveraging) การเข้าถึงสินเชื่อรายย่อยที่ทำได้จำกัด สะท้อนความเปราะบางภาคครัวเรือนและกดดันการบริโภคครัวเรือนในระยะต่อไป

สอดคล้องกับปัญหาสำหรับภาคธุรกิจ โดยเฉพาะ SMEs ยังคงเผชิญกับความยากลำบากในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ต้นทุนดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นทำให้การขยายกิจการทำได้ยากขึ้น ขณะที่กำลังซื้อของผู้บริโภคยังไม่กลับมาเต็มที่ อัตราการปิดกิจการของธุรกิจขนาดเล็กยังคงสูงกว่าระดับปกติ สะท้อนถึงความเปราะบางของภาคธุรกิจไทย

[ ยุ่ง ยาก และ แย่ แต่ “ยัง” มีโอกาส ]

เศรษฐกิจไทยในปี 2025 แม้เผชิญความท้าทายมากมาย แต่ส่วนหนึ่งก็อาจมาพร้อมโอกาส โดยเฉพาะหากมีการปรับตัวและเปลี่ยนแปลงนโยบายให้สอดรับกับกระแสการค้าและการลงทุนโลกได้อย่างรวดเร็วและเหมาะสม ในระยะสั้นผ่านการเตรียมความพร้อมในการเจรจาเชิงกลยุทธ์ลดผลกระทบจากการกีดกันการค้าของสหรัฐฯ หากถึงเวลาที่ไทยกลายเป็นประเทศเข้าข่ายถูกมาตรการเพิ่มภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ตลอดจนมาตรการปรับปรุงตัดลดกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจที่ซ้ำซ้อน เพื่อสร้างความง่ายในการทำธุรกิจ รวมถึงปกป้องธุรกิจในประเทศจากการเข้ามาตีตลาดจากสินค้าต่างประเทศ

ในระยะยาวต้องเพิ่มการลงทุนปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานให้ครอบคลุมการย้ายฐานการผลิตเข้ามาลงทุนที่อาจเพิ่มขึ้นจากประเทศที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้ารอบใหม่ ด้วยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้สอดรับกับเทรนด์โลก การลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ และการเร่งพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียว จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เศรษฐกิจไทยสามารถก้าวข้ามความท้าทายที่ทั้ง ยุ่ง ยาก และ แย่ ไปสู่ ย. สุดท้ายคือเติบโตได้อย่าง “ยั่งยืน”

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า