‘การบินไทย’ เตรียมยื่นศาลฯ ขอเลื่อนส่งแผนฟื้นฟูกิจการ 1 เดือน

‘การบินไทย’ จ่อยื่นศาลเลื่อนส่งแผนฟื้นฟู 1 เดือน จาก 2 ม.ค.ไป 2 ก.พ. 64 เหตุเจรจาเจ้าหนี้ยังไม่ได้ข้อสรุป เชื่อทันกำหนดนัดประชุมเจ้าหนี้กลางเดือน มี.ค. ก่อนรอศาลพิจารณาแผนฯ ไม่เกิน พ.ค. 64 และเดินหน้าตามแผนฟื้นฟูได้ตามกำหนด ยอมรับโควิดทุบรายได้ร่วงจาก 1.45 หมื่นล้านเหลือไม่ถึง 1 พันล้านบาท เร่งหารายได้อื่นเสริม-ลดต้นทุน โควิดระลอกสองกระทบเที่ยวบินหด 10%

นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร รักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในสัปดาห์หน้าการบินไทยเตรียมยื่นต่อศาลล้มละลายกลางขอขยายเวลาส่งแผนฟื้นฟูกิจการออกไปอีก 1 เดือน จากเดิมกำหนดส่งแผนในวันที่ 2 ม.ค.2564 ไปเป็นวันที่ 2 ก.พ.2564 เนื่องจากยังอยู่ระหว่างกระบวนการเจรจาเจ้าหนี้ ทั้งเจ้าหนี้เครื่องบิน เจ้าหนี้หุ้นกู้ เจ้าหนี้สถาบันการเงิน ในประเด็นการลดหนี้ ยืดหนี้ แฮร์คัทหนี้ ลดทุนในส่วนของผู้ถือหุ้นที่ยังไม่สามารถสรุปได้

โดยในขั้นตอนต่อไปหลังการบินไทยส่งแผนฟื้นฟูเรียบร้อยแล้วในเดือน ก.พ. เจ้าหน้าที่พิทักษ์ทรัพย์จะกำหนดเรียกประชุมเจ้าหนี้ในช่วงกลางเดือน มี.ค. 2564 และคาดว่าศาลจะพิจารณาแผนฟื้นฟูการบินไทยช่วงเดือน เม.ย. หรือไม่เกินเดือน พ.ค. ปี 2564 โดยมั่นใจว่าเมื่อได้รับอนุมัติ การบินไทยจะเดินหน้าดำเนินการตามกำหนดการฟื้นฟูกิจการเป็นเวลา 5 ปี ขยายได้อีก 2 ครั้ง ครั้งละ 1 ปี รวมจะใช้เวลาดำเนินการแผนฟื้นฟูไม่เกิน 7 ปี

นอกจากนั้น นายชาญศิลป์ยังยอมรับว่า โควิดส่งผลกระทบต่อการเดินทาง ทำให้รายได้ของการบินไทยในปัจจุบันไม่ถึง 1,000 ล้านบาทต่อเดือนจาก 14,500 ล้านบาทต่อเดือนในอดีต ทำให้บริษัทยังคงเดินแผนหารายได้จากธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจการบินและลดต้นทุนอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นรายได้จากครัวการบิน การขนส่งสินค้า (คาร์โก้) และเที่ยวบินรับคนไทยกลับบ้าน

โดยในปี 2564 การบินไทยจะพยายามหารายได้จากทุกช่องทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งรายได้จากธุรกิจที่ไม่ใช่การบิน โดยการสร้างให้การบินไทยเป็นศูนย์กลางภาคพื้น ทั้งงานบริการอาหาร การซ่อมบำรุง และธุรกิจเกี่ยวเนื่อง พร้อมตั้งเป้าลดค่าใช้จ่ายลงอีก 30% โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายด้านพนักงานที่จะลดจาก 1.3 หมื่นล้านบาท เหลือ 9 พันล้านบาทจากความร่วมมือของพนักงานทุกคน

ทั้งนี้ แม้ในช่วงที่ผ่านมาจะมีเที่ยวบินในประเทศกลับมาราว 60-70% แต่เมื่อเกิดโควิดในพื้นที่เชียงรายและสมุทรสาครก็กระทบต่อปริมาณหายไปราว 10%

ที่มา กรุงเทพธุรกิจ และ ฐานเศรษฐกิจ